แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีที่มีความผิดซึ่งต้องสืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176เมื่อโจทก์สืบพยานแล้วข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่1และหรือที่2ไม่ได้กระทำความผิดศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ส่วนความผิดฐานอื่นซึ่งศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพนั้นเมื่อปรากฎว่าจำเลยที่1และหรือที่2ไม่ได้กระทำความผิดฐานนี้ศาลก็ย่อมมีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่1และหรือที่2ได้ด้วยเช่นกัน แม้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยที่1จำหน่ายเฮโรอีนและกัญชาให้แก่ผู้อื่นตามฟ้องซึ่งเป็นความผิดคนละกรรมกันแต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่1ฐานจำหน่ายกัญชาและโจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่1ในความผิดฐานจำหน่ายกัญชาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 26, 57, 66, 67,75, 76, 91, 92, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91และริบของกลางทั้งหมดเว้นแต่เงิน 100 บาท ที่ล่อซื้อให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง,26 วรรคหนึ่ง, 57, 67, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง, 91, 92, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 เรียงกระทงโทษฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุกคนละ 5 ปีฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนรวม 9 กรรมลงโทษกรรม 5 ปี นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ลงโทษฐานร่วมกันเสพยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันเสพกัญชา จำคุก 4 เดือนรวมจำเลยที่ 1 จำคุก 52 ปี 10 เดือน จำเลยที่2 จำคุก 52 ปีจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78จำเลยที่ 1 คงจำคุก 26 ปี 5 เดือน จำเลยที่ 2 คงจำคุก 26 ปีกับให้ริบของกลางทั้งหมดและคืนธนบัตรของกลาง 100 บาท ที่ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษต่ำสุดของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้และขอให้รอการลงโทษในข้อหาเสพเฮโรอีนผสมกัญชา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,26 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคหนึ่ง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 5 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 10 ปี 6 เดือนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด5 ปี 3 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องร้อยตำรวจเอกเฉวียน ผันผาย หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงครามและพวกจับกุมจำเลยทั้งสอง นายอธิป ถิราภินันท์นายสุธี ถนอมชาติ นายสำราญ บุญกรุด นายสนั่น นุชเซาะนายสุวิทย์ แพทย์จะเกร็ง นายมาโนช พลับสวัสดิ์นายวินัย หอประเสริฐ และนายสังคม วรรณประเสริฐ ได้พร้อมของกลางทั้งหมดตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งรวมทั้งเฮโรอีนบรรจุในหลอดพลาสติกใสจำนวน 7 หลอด น้ำหนัก 6.22 กรัมเฮโรอีนบรรจุหลอดกาแฟปิดหัวท้าย 2 หลอด น้ำหนัก 0.05 กรัมและกัญชาน้ำหนัก 74.14 กรัม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นข้อแรกว่าเมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษต่ำสุดของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้และขอให้รอการลงโทษในข้อหาเสพเฮโรอีนผสมกัญชา ข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ย่อมยุติแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 2 และยกฟ้องจำเลยที่ 1บางข้อหาเป็นการไม่ชอบหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่า ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป ซึ่งแม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง และศาลชั้นต้นต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จนเป็นที่พอใจว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพและข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และหรือที่ 2 ไม่ได้กระทำความผิดฐานดังกล่าวศาลก็ย่อมพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และหรือที่ 2 ในข้อหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ส่วนความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายและความผิดฐานเสพเฮโรอีนและกัญชานั้นมีอัตราโทษอย่างต่ำไม่ถึง5 ปี ซึ่งแม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพและศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในข้อหาความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และหรือที่ 2 ไม่ได้กระทำความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายหรือฐานเสพเฮโรอีนและกัญชาศาลก็ย่อมมีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1 และหรือที่ 2 ในข้อหาดังกล่าวได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185เช่นกัน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีกัญชาแห้งไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนผสมกัญชาให้แก่นายอธิป ถิราภินันท์ และพวกรวม 8 คน ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้นและร่วมกันเสพเฮโรอีนและกัญชานั้น ในปัญหานี้ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกเฉวียนและนายดาบตำรวจสอาดเบิกความยืนยันว่า พยานโจทก์ทั้งสองแอบดูที่ประตูเห็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับชายอีก 8 คน คือนายอธิป ถิรานันท์ นายสุธี ถนอมชาติ นายสำราญ บุญกรุดนายสนั่น นุชเซาะ นายสุวิทย์ แพทย์จะเกร็ง นายมาโนช พลับสวัสดิ์นายวินัย หอประเสริฐ และนายสังคม วรรณประเสริฐ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้นนั่งล้อมวงใช้บ้องกัญชาสูบกัญชาผสมเฮโรอีนโดยใช้เฮโรอีนโรยในบ้องกัญชาผสมสูบไปด้วยกัน เมื่อจำเลยที่ 1 กับชายทั้ง 8 คนนั้นผลัดเปลี่ยนกันสูบจนครบถ้วนทุกคนแล้ว ร้อยตำรวจเอกเฉวียนและพวกจึงเข้าจับกุมจำเลยทั้งสองและชาย 8 คนนั้น และตรวจค้นยึดได้เฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติก 6 หลอด ซึ่งวางอยู่ข้างจำเลยที่ 1และเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติก 1 หลอด กับกัญชาแห้ง 1 ถุงซึ่งวางอยู่กลางวงร้อยตำรวจเอกเฉวียนและพวกแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสองว่า มียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายและมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครอง จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 และร้อยตำรวจเอกทวีพนักงานสอบสวนเบิกความว่า พยานแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย และมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครอง จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.5ต่อมาพยานแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลยที่ 1 ว่ามียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตกับเสพยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนและกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.20 สำหรับความผิดฐานเสพเฮโรอีนและกัญชา และความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายที่จำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า นอกจากความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำไม่ถึง 5 ปี ไม่อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องสืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แล้ว ยังได้ความจากร้อยตำรวจเอกเฉวียนและนายดาบตำรวจสอาดอีกด้วยว่าพยานทั้งสองแอบดูเห็นจำเลยที่ 1 นั่งล้อมวงอยู่กับชาย 8 คน คือ จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้น สูบกัญชากันอยู่โดยใช้บ้องกัญชากับใช้ผงเฮโรอีนโรยในบ้องกัญชา ทั้งยังได้ความจากบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งเป็นคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ให้การในชั้นสอบสวนว่า ผู้ต้องหาที่ 3 ถึงที่ 10 (คือจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้น) มาขอซื้อเฮโรอีนและกัญชาจากจำเลยที่ 1 ที่บ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 นำเฮโรอีน1 หลอดพลาสติก และกัญชาจำนวน 1 เขียง มามอบให้บุคคลเหล่านั้นโดยตั้งไว้กลางวงแล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเสพกัญชาโดยเอาเฮโรอีนโรยหน้าดูดด้วยบ้องกัญชา โดยจำเลยที่ 1 เองก็เสพด้วยพยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักแน่นแฟ้นฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานเสพเฮโรอีนและเสพกัญชากับมียาเสพติดให้โทษกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานดังกล่าวนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนผสมกัญชาให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายเฮโรอีน 2 หลอดกาแฟให้แก่สายลับที่เข้าไปล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 แล้วร้อยตำรวจเอกเฉวียนและนายดาบตำรวจสอาดได้แอบดูเห็นจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538ของศาลชั้นต้น นั่งล้อมวงผลัดเปลี่ยนกันสูบเฮโรอีนผสมกัญชาโดยใช้บ้องกัญชาจนครบถ้วนทุกคนและจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.5 ว่า จำเลยที่ 3ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้นมาซื้อเฮโรอีนและกัญชาจากจำเลยที่ 1 ที่บ้านจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1นำเฮโรอีน 1 หลอดพลาสติก กับกัญชา 1 เขียง ตั้งไว้กลางวงให้บุคคลเหล่านั้นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเสพกัญชาโดยเอาเฮโรอีนโรยหน้าดูดด้วยบ้องกัญชา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักแน่นแฟ้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 จำหน่ายเฮโรอีนและกัญชาให้แก่จำเลยที่ 3ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538 ของศาลชั้นต้นตามฟ้องอย่างไรก็ตาม แม้ความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนและความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดคนละกรรมกันก็ตาม เมื่อศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานจำหน่ายกัญชาและโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานจำหน่ายกัญชาได้ นอกจากนี้แล้วแม้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จำหน่ายเฮโรอีนให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538ของศาลชั้นต้นดังกล่าวก็ตาม แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดดังกล่าวต่างกรรมกันจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าวต่างกรรมกันได้ดังนั้นนอกจากความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน 2 หลอดกาแฟให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อแล้ว จำเลยที่ 1 จึงคงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 93/2538ของศาลชั้นต้นอีกเพียงกรรมเดียว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเป็นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 26 วรรคหนึ่ง,57, 66 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง, 91 และ 92 วรรคหนึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีนรวม2 กรรม จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานเสพเฮโรอีน จำคุก 6 เดือนฐานเสพกัญชาจำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 17 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพตลอดมาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี 10 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3