คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1788/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฉลากอาหารกระป๋องที่จำเลยผลิตไม่ถูกต้องเฉพาะเลขทะเบียนซึ่งระบุที่ฉลากโดยเลขทะเบียนที่ระบุที่ฉลากอาหาร 2 รายการแรกเป็นของผู้อื่น ส่วนเลขทะเบียนที่ระบุที่ฉลากอาหาร 3 รายการหลังเป็นของจำเลย แต่เป็นเลขทะเบียนอาหารชนิดอื่นที่จำเลยได้รับอนุญาต ให้ขึ้นทะเบียนตำรับอาหารแล้ว ดังนี้จำเลยหามีเจตนาลวงผู้ซื้อ ให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ หรือลักษณะพิเศษอย่างอื่น หรือในเรื่องสถานที่และประเทศที่ผลิตไม่ เพราะไม่อาจทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าวได้ อาหารที่มีฉลากดังกล่าว จึงมิใช่เพื่อลวง หรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าวจำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(2),59 ความผิดฐานผลิตอาหารควบคุมเฉพาะโดยไม่ได้รับอนุญาตกับ ผลิตอาหารควบคุมเฉพาะไม่ตรงตามที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับอาหารไว้ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง,64 กับ มาตรา34,66 เป็นการกระทำผิดกรรมเดียว ทั้งการที่จะลงโทษตามบทมาตราดังกล่าวได้ โจทก์จะต้องบรรยายฟ้องว่าเป็นอาหารควบคุมเฉพาะซึ่งต้องมีฉลากและฉลากนั้นต้องมีเลขทะเบียนตำรับอาหาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ก. จำเลยทั้งสามร่วมกันตั้งโรงงานผลิตอาหารเพื่อจำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต ข. จำเลยทั้งสามร่วมกันผลิตอาหารปลอมเพื่อจำหน่าย โดยนำสลากแสดงเลขทะเบียนตำรับอาหารของผู้อื่นซึ่งขออนุญาตขึ้นทะเบียนตำรับอาหารไว้แล้วมาติดที่อาหารที่จำเลยทั้งสามผลิตขึ้นเพื่อจำหน่าย ค. จำเลยทั้งสามร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารควบคุมเฉพาะปลอมขึ้น โดยผลิตไม่ตรงกับทะเบียนตำรับที่ได้ขออนุญาตและได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 6, 7, 14, 25(2), 27(4), 31 วรรคหนึ่ง,34, 44, 51, 53, 59, 64, 66 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(2), 27(4), 31 วรรคหนึ่ง, 34, 59,64, 66 ให้ลงโทษตามมาตรา 59 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ฐานผลิตอาหารปลอมและฐานผลิตอาหารควบคุมเฉพาะปลอมให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 30,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3กระทงละ 2 ปี รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 4 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าสารวัตรอาหารและยา แห่งกระทรวงสาธารณสุขได้ไปตรวจโรงงานของจำเลย 2 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 15 ตุลาคม 2522 เก็บตัวอย่างอาหารกระป๋องไปตรวจ 2 รายการ ครั้งที่ 2 วันที่ 7 สิงหาคม 2523เก็บตัวอย่างอาหารกระป๋องไปตรวจ 3 รายการ ปรากฏว่าฉลากที่ปิดกระป๋องอาหารทั้งห้ารายการที่เก็บตัวอย่างมานั้นไม่ถูกต้องรายละเอียดปรากฏตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ดังได้กล่าวมาแล้วปัญหามีว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง ข้อ ข. และข้อค. ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามมาเพียงใดหรือไม่
สำหรับข้อหาว่า จำเลยผลิตอาหารปลอมเพื่อจำหน่ายตามฟ้องข้อ ข. และผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารควบคุมเฉพาะปลอมตามฟ้อง ข้อ ค.อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(2)ซึ่งมีโทษตามมาตรา 59 นั้น ตามมาตรา 27(4) แห่งพระราชบัญญัตินี้อาหารที่มีฉลากเพื่อลวง หรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ หรือลักษณะพิเศษอย่างอื่น หรือในเรื่องสถานที่และประเทศที่ผลิต ให้ถือว่าเป็นอาหารปลอม ฟ้องโจทก์ก็อ้างว่าอาหารที่จำเลยผลิตขึ้นนั้นเป็นอาหารปลอมทั้งห้ารายการโดยอาศัยเหตุดังกล่าว ปรากฏตามฟ้องและทางพิจารณาแน่ชัดว่า ฉลากอาหารกระป๋องทั้งห้ารายการดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องเฉพาะเลขทะเบียนที่ระบุที่ฉลากโดยเลขทะเบียนที่ระบุที่ฉลากอาหาร 2 รายการแรกเป็นของผู้อื่นส่วนเลขทะเบียนที่ระบุที่ฉลากอาหาร 3 รายการหลังเป็นของจำเลยแต่เป็นเลขทะเบียนอาหารชนิดอื่นที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับอาหารแล้ว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว การระบุเลขทะเบียนไม่ถูกต้องในกรณีของจำเลยนี้จำเลยหามีเจตนาลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ หรือลักษณะพิเศษอย่างอื่นหรือในเรื่องสถานที่และประเทศที่ผลิตไม่ เพราะไม่อาจทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าวได้ อาหารที่มีฉลากดังกล่าวจึงมิใช่เพื่อลวงหรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าว นายวรชาติสว่างพัฒนา พยานโจทก์ ซึ่งเป็นสารวัตรอาหารและยา ผู้ทำการเก็บตัวอย่างอาหารของจำเลย 3 รายการหลังก็เบิกความตอบคำถามค้านว่าฉลากที่จำเลยติดนั้นประชาชนทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นของใครและใครเป็นผู้ผลิตอาหารกระป๋องนั้น อาหารที่เก็บตัวอย่างไปนั้น ปรากฏว่า ภายในกระป๋องมีอาหารตรงตามที่ระบุในฉลาก นายชม ขาวสะอาดสารวัตรอาหารและยา ซึ่งเป็นผู้เก็บตัวอย่างอาหารของจำเลย2 รายการแรกก็เบิกความเป็นพยานโจทก์ทำนองเดียวกับนายวรชาติดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 25(2) ประกอบด้วยมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังขึ้น
สำหรับการกระทำของจำเลยที่ระบุหมายเลขทะเบียนเท็จในฉลากอาหารทั้งห้ารายการนั้น เชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยมิได้รับอนุญาตให้ผลิตอาหารตามชื่ออาหารทั้งห้ารายการนั้น จำเลยจึงต้องระบุเลขทะเบียนซึ่งเป็นของผู้อื่นใน 2 รายการแรก และระบุเลขทะเบียนของจำเลยใน 3 รายการหลัง ซึ่งเป็นเลขทะเบียนตำรับอาหารในชื่ออื่น ทั้งนี้โดยจำเลยต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้ผลิตอาหารดังกล่าวโดยชอบแล้ว เหตุที่จำเลยต้องกระทำเช่นนั้นอยู่บ่อย ๆ น่าจะเป็นเพราะจำเลยรับจ้างผู้อื่นผลิตอาหารกระป๋องเพื่อส่งไปจำหน่ายต่างประเทศตามที่จำเลยนำสืบ จำเลยไม่อาจขออนุญาตผลิตอาหารทุกตำรับได้ จึงจำเป็นต้องระบุหมายเลขทะเบียนเท็จที่ฉลากข้อนำสืบของจำเลยที่ว่าคนงานของจำเลยติดฉลากผิดพลาดโดยจำเลยไม่รู้เห็นนั้นฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง,64 และมาตรา 34, 66 ตามฟ้องข้อ ข. และข้อ ค. รวม 2 กระทงนั้นเห็นว่ามาตรา 31 วรรคหนึ่งซึ่งผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษตามมาตรา 64 นั้นบัญญัติว่าผู้รับอนุญาตตามมาตรา 14 ผู้ใดจะผลิตอาหารควบคุมเฉพาะจะต้องนำอาหารนั้นมาขอขึ้นทะเบียนตำรับอาหารต่อผู้อนุญาตเสียก่อนและเมื่อได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหารแล้ว จึงจะผลิตได้ส่วนมาตรา 34 ซึ่งผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษตามมาตรา 66 นั้น บัญญัติว่าผู้รับอนุญาตผลิตอาหารควบคุมเฉพาะต้องผลิตอาหารควบคุมเฉพาะให้ตรงตามที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับอาหารไว้ เมื่อพิจารณาฟ้องข้อ ข. แล้วเห็นได้ว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า เป็นอาหารควบคุมเฉพาะซึ่งต้องมีฉลาก และฉลากนั้นต้องมีเลขทะเบียนตำรับอาหาร จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะลงโทษได้ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 64 หรือมาตรา 34 ประกอบด้วยมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 จึงลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง,64 หรือ มาตรา 34, 66 ไม่ได้ แต่ฟ้องข้อ ค. ของโจทก์นั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับคำขอท้ายฟ้องแล้ว เห็นได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามมาตรา 31 วรรค 1, 64 และมาตรา 34, 66 และตามทางพิจารณาได้ความดังที่กล่าวแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว แต่กระทำความผิดเพียงกรรมเดียว”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง, 64 และมาตรา 34, 66ลงโทษตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 64 ซึ่งเป็นบทหนักปรับจำเลยที่ 1เป็นเงิน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 1 ปี และปรับ10,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไว้คนละ 2 ปีข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share