คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยมีหนี้ส่วนที่เป็นโมฆะรวมอยู่ด้วยเนื่องจากโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินอันเป็นหนี้ประธานที่สมบูรณ์แยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ มิใช่สัญญากู้ตกเป็นโมฆะทั้งหมด จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามสัญญากู้เงินจำนวน 5,475,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 4,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 21 กันยายน 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2533 จำนวน 1,000,000 บาท และวันที่ 17 มกราคม 2534 จำนวน 1,000,000 บาท โดยนำโฉนดที่ดิน 4 แปลงให้โจทก์ยึดถือไว้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดในต้นเงินและดอกเบี้ยต่อโจทก์หรือไม่และจำนวนเท่าใด ขอเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า จำเลยกู้เงินและรับเงินโจทก์เพียง 2,000,000 บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนบ้าง ร้อยละ 2 ต่อเดือนบ้าง แล้วนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระมาทบเข้ากับต้นเงินแล้วทำสัญญากู้ฉบับใหม่ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีการนำเงินมาชำระก็หักออกจากยอดหนี้จนในที่สุดทำสัญญากู้ฉบับสุดท้าย ระบุจำนวนเงินกู้ 4,500,000 บาท ดังนั้น ที่จำเลยอ้างว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะและไม่มีการมอบเงินนั้น แม้สัญญากู้มีหนี้ส่วนที่เป็นโมฆะรวมอยู่ด้วย โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินอันเป็นหนี้ประธานที่สมบูรณ์แยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ มิใช่สัญญากู้ตกเป็นโมฆะทั้งหมด และเมื่อได้ความว่า มีการชำระเงินหักจากยอดหนี้บางส่วนโดยจำเลยยอมชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าจำเลยได้รับมอบต้นเงิน 2,000,000 บาท ในสัญญากู้ไปจากโจทก์แล้วจึงได้มีการชำระดอกเบี้ยกันแม้จะเกินอัตราตามกฎหมายหมายก็ตาม ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยไว้แล้วซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งในจำนวนเงินดังกล่าว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งคือ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความใช้แทนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่ามีจำนวนสูงเกินไปและไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ผู้แพ้หรือผู้ชนะเป็นฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียมหรือให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับก็ได้ ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2542 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับทั้งสองฝ่ายเท่านั้น มิได้กล่าวด้วยว่านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้น มีผลทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เป็นอันเพิกถอนไป เป็นการสั่งเกี่ยวกับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นเสียใหม่ ให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน

Share