คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการสืบพยานจำเลย พยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ราคาประเมินตารางวาละ 2,500 บาทตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 โจทก์จึงอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 มาหักล้างคำ ของ พยานจำเลย และข้อความตามหนังสือรับรองราคาประเมิน เอกสารหมาย ล.1 เมื่อพยานจำเลยเบิกความรับรองหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ย่อมมีสิทธิอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานประกอบคำ ของ พยานจำเลยโดยไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลได้ การพิจารณาคดีล้มละลาย ผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 ว่ามีเหตุอันควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เป็นประเด็นสำคัญในคดีที่มีความจำเป็นต้องสืบพยานอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 เป็นพยานสำคัญที่จะแสดงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าว ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ และในปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกวินิจฉัยให้ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางระพีพรรณผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อโจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2529 เป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น215,578.63 บาท กองมรดกของนางระพีพรรณไม่พอชำระหนี้โจทก์และเจ้าหนี้อื่น แสดงว่านางระพีพรรณมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้จัดการทรัพย์มรดกของนางระพีพรรณตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 84
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้ศาลชั้นต้นคืนค่าอ้างเอกสารหมาย จ.6 จำนวน 5 บาท และค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินจำนวน 150 บาทให้แก่โจทก์และคืนค่าอ้างเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 รวม 15 บาทให้แก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีสิทธินำสืบหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 หักล้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 แม้จะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาล ส่วนจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบเพื่อให้ศาลเชื่อว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 65513 และ 65514 ของจำเลยมีราคาตารางวาละ 2,500 บาทโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1ต่อศาล ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับฟังพยานเอกสารดังกล่าวชอบแล้วนั้นปรากฏว่าเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยอ้างส่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนอง สำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและสำเนาโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.5ต่อศาลโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 และขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นอนุญาต ถึงวันนัดจำเลยแถลงว่า ที่ดิน (โฉนดที่ดิน) ของจำเลยที่ยื่นต่อศาลได้ติดจำนองธนาคารกสิกรไทยพร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2530 เป็นเงิน 381,088.89 บาท แต่ที่ดินทั้งสองแปลงของจำเลยมีราคารวมกันมากกว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์อ้างโจทก์จำเลยขอเวลาเจรจากันโดยโจทก์จะไปดูสภาพที่ดินก่อน และขอเลื่อนไปนัดพร้อมถึงวันนัดโจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่าตกลงกันไม่ได้ และโจทก์อ้างส่งหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 โดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลและในการสืบพยานจำเลยต่อมานายพีรพล ผู้จัดการมรดกของนางระพีพรรณพยานจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์รับว่า หนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6ซึ่งประเมินราคาที่ดินแปลงเดียวกันกับหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 เป็นการประเมินเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2531ราคาตารางวาละ 1,400 บาท สำหรับหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เห็นว่า ในการสืบพยานจำเลยชั้นแรกนายพีรพล ผู้จัดการมรดกของนางระพีพรรณอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ราคาประเมินตารางวาละ 2,500 บาทตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 โจทก์จึงอ้างหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 มาหักล้างคำของนายพีรพล และข้อความตามหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย ล.1 เมื่อนายพีรพลพยานจำเลยเบิกความรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 ดังกล่าวมาโจทก์ย่อมมีสิทธิอ้างอิงหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6เป็นพยานหลักฐานประกอบคำของนายพีรพล โดยไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังหนังสือรับรองราคาประเมินเอกสารหมาย จ.6 เพราะโจทก์มิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลนั้นศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนอง และสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 ที่จำเลยอ้างส่งโดยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลนั้น เห็นว่า การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญ เพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ว่ามีเหตุอันควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ และจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เป็นเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่มีความจำเป็นจะต้องสืบพยานอันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งหนังสือรับรองราคาประเมิน สำเนาหนังสือสัญญาจำนองและสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย ล.1 ถึงล.3 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะแสดงได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารดังกล่าวต่อศาลก็ตามแต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังพยานเอกสารดังกล่าวเพราะจำเลยมิได้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วยและในปัญหานี้คู่ความจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
พิพากษายืน แต่ไม่คืนค่าอ้างเอกสารหมาย จ.6 จำนวน 5 บาทให้แก่โจทก์ และไม่คืนค่าอ้างเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.3 รวมจำนวน15 บาท ให้แก่จำเลย.

Share