แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อตกลงตามบันทึกหลังทะเบียนหย่าที่ว่า โจทก์รับหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรและธิดาทั้งสามเป็นผู้ส่งเสียให้การศึกษาเอง โดยจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบส่งเสียเลี้ยงดูแต่อย่างใดทั้งปัจจุบันและอนาคต เป็นอันบังคับได้จนกว่าศาลจะสั่งเปลี่ยนแปลง มิใช่เป็นเรื่องสละสิทธิที่จะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู ไม่ขัดต่อกฎหมาย และไม่เป็นโมฆะ โจทก์จะมาฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรที่โจทก์ได้จ่ายไปหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยสมรสกัน มีบุตรผู้เยาว์ 3 คน ต่อมาได้ยินยอมจดทะเบียนหย่ากัน โดยตกลงว่าโจทก์รับอุปการะเลี้ยงดูบุตรและธิดาทั้งสาม จำเลยจึงไม่ได้เลี้ยงดูบุตรธิดาจำเลย โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสามไป จำเลยจะต้องออกด้วยครึ่งหนึ่งเป็นเงินถึงวันฟ้อง 50,400 บาทขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงิน 50,400 บาทแก่โจทก์ และจ่ายเป็นรายเดือนต่อไปเดือนละ 1,050 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของบุตรโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวไม่ได้ จำเลยไม่ต้องรับผิดอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามบันทึกการหย่าท้ายฟ้อง เพราะโจทก์ประสงค์จะหย่าเอง และรับเอาที่ดินสินสมรสไปแต่ผู้เดียว จำเลยต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างสมรส จึงเท่ากับโจทก์ได้รับค่าตอบแทนไปแล้ว ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่เรียกสูงเกินไป
ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์เป็นเงิน 38,973.50 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย กับให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 900 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ900 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าผู้เยาว์ทั้งสามจะบรรลุนิติภาวะ โดยเมื่อผู้เยาว์คนใดบรรลุนิติภาวะแล้วก็ให้ลดลงตามส่วนของคนนั้น คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่าท้ายฟ้องดังกล่าวทำขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2516 จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลานั้น มาตรา 1504บัญญัติว่า “เมื่อสามีภรรยาหย่ากัน ให้ต่างออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยกำหนดจำนวนไว้ในสัญญาหย่า……..” เมื่อประกอบกับมาตรา 1594 วรรคสองที่บัญญัติว่า ” ในการกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดู ให้พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งเรื่องตลอดถึงรายได้และฐานะของคู่กรณี ” แล้วจะเห็นว่าแม้สามีภรรยาหย่ากันแล้ว กฎหมายต้องการคุ้มครองบุตรผู้เยาว์ให้ได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเช่นขณะที่สามีภรรยายังไม่ได้หย่ากัน โดยให้ต่างออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยกำหนดไว้ในสัญญาหย่า โดยคำนึงถึงรายได้และฐานะของสามีภรรยาถ้ามีเท่ากันก็อาจจะออกค่าอุปการะเลี้ยงดูคนละครึ่ง ถ้าไม่เท่ากันก็อาจตกลงให้ฝ่ายที่มีรายได้และฐานะดีกว่าออกมากกว่า หรือฝ่ายที่มีรายได้และฐานะดีจะตกลงรับเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่ฝ่ายเดียวโดยไม่กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพและความเป็นอยู่ของบุตรก็ย่อมทำได้ เพราะหน้าที่ของบิดามารดาที่จำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรผู้เยาว์นั้น แม้จะตกลงกันไว้อย่างไรก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1596ว่า ” เมื่อผู้มีส่วนได้เสียแสดงได้ว่า พฤติการณ์ รายได้หรือฐานะของคู่กรณีได้เปลี่ยนแปลงไปศาลจะสั่งให้เพิกถอนลด เพิ่มหรือกลับให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกก็ได้ แล้วแต่กรณี ” ดังนั้น ข้อตกลงตามบันทึกหลังทะเบียนหย่าท้ายฟ้องที่ว่าโจทก์รับหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรและธิดาทั้งสามคนดังกล่าว โจทก์เป็นผู้ส่งเสียให้การศึกษาเองโดยจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบส่งเสียค่าเลี้ยงดูแต่อย่างใดทั้งปัจจุบันและอนาคตจึงเป็นอันใช้บังคับได้ จนกว่าศาลจะสั่งเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้น ข้อตกลงดังกล่าวหาใช่เป็นเรื่องสละสิทธิที่จะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไม่ จึงไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่เป็นโมฆะ โจทก์จะมาฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาบุตรที่โจทก์ได้จ่ายไปตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวข้างต้นครึ่งหนึ่งหาได้ไม่
พิพากษายืน