คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางซึ่งเคยตกเป็นภาระจำยอมขนาดเกวียนเดินผ่านได้แต่เจ้าของที่ปลูกกั้นไม่ให้เกวียนเดินมาช้านานถึง 15-16 ปี ย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 คงเหลือแต่ภาระจำยอมเฉพาะคนเดินเท่านั้น เมื่อสภาพแห่งภาระจำยอมที่จะใช้เกวียนสิ้นไปแล้ว แม้จะกลับใช้เกวียนใหม่อีกเพียง 3 ปี ก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมกลับมีขึ้นอีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือ 1401
และการวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่า ภาระจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความนี้เป็นอายุความได้สิทธิและเสียสิทธิ ไม่ใช่อายุความฟ้องคดี ศาลจึงยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยเองได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 193

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีภริยากัน มีที่ดินบ้านเรือนอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินจำเลย ซึ่งอยู่ติดถนนตรอกโพธิราช การออกจากบ้านโจทก์สูถนนตรอกโพธิราชต้องผ่านที่ดินของจำเลย และแนวดังกล่าวนี้ กว้าง ๖ ศอก ยาว ๑ เส้น โจทก์และประชาชนได้ใช้ทางนี้จนได้ภาระจำยอมรวม ๔๐ ปีแล้ว เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๐๑ จำเลยปักกั้นทางนี้ขอให้บังคับจำเลยให้เปิด
จำเลยให้การว่า ทางตามฟ้องเป็นเพียงทางเดินเท้า ไม่เคยเปิดเป็นทางเกวียน
เมื่อชี้สองสถานจำเลยรับว่าที่ดินส่วนนี้ได้เปิดให้เป็๋นทางคนเดินมาราว ๑๗-๑๘ ปี เปิดกว้างเพียง ๑ ศอกเท่านั้น ไม่เคยเปิดให้เป็นทางเกวียนเลย ฝ่ายโจทก์แถลงว่าทางนี้เปิดเป็นทางเกวียนเดินได้กว้าง ๖ ศอก มาประมาณ ๔๐ ปีแล้ว ศาลชั้นต้นจึงกะประเด็นให้สืบเพียงประการเดียวว่า ทางรายนี้กว้างเท่าใด ให้โจทก์สืบก่อน
เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ววินิจฉัยว่า เดิมโจทก์เคยใช้ทางรายนี้เป็นทางเกวียนขนข้างจากนาเท่านั้น แต่ได้สะดุดหยุดลงเสีย ๑๖ ปี เพราะจำเลยปลูกยุ้งข้าวขวางทาง เมื่อ ๓ ปีนี้จำเลยรื้อยุ้งข้าว โจทก์จึงใช้ทางเกวียนผ่านเข้าออกอีก แต่เวลาผ่านต้องถอนหลักที่จำเลยปักกั้นไว้ อย่างนี้จะเรียกว่าทางนี้ยังมีสภาพเป็นภาระจำยอมอยู่อีกไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ บังคับให้จำเลยให้เปิดทางให้โจทก์ใช้ผ่านเข้าออกกว้าง ๖ ศอก ตามฟ้อง
จำเลยฎีกา ซึ่งสรุปได้ว่า ทางพิพาทไม่เคยใช้เป็นทางเกวียนเดินผ่าน เรื่องนี้ศาลชั้นต้นได้ไปตรวจสอบสถานที่และบันทึกไว้ ปรากฏว่า เสาเรือนจำเลยมายังรั้วบ้านนายเบ้าพยานจำเลยมีที่ว่างเพียง ๕.๕๕ เมตร ฉะนั้น ถ้าคำนึงถึงยุ้งข้าวของจำเลยที่รื้อไปแล้ว และเคยปลูกอยู่ตรงที่ว่างนี้โดยปลูกห่างเสาเรือนจำเลย ๑.๒๕ เมตร และยุ้งข้าวนี้กว้างถึง ๒.๖๕ เมตร เมื่อเอาที่ว่างระหว่างเรือนจำเลยกับยุ้ง บวกกับความกว้างของยุ้ง แล้วหักออกจากที่ว่างระหว่างเรือนจำเลยกับรั้วบ้านนายเบ้า ก็จะมีที่ว่างเหลืออยู่เป็นทางเพียง ๑.๖๕ เมตร ดังนั้น เกียนซึ่งมีขนาดธรรมดาทั่ว ๆ ไปกว้าง ๒.๒๓ เมตร ย่อมเดิมผ่านช่องว่างนี้ไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาที่ว่า ทางพิพาทเคยมีขนาดกว้าง ๖ ศอก เกวียนผ่านได้ หรือว่ากว้างเพียง ๑ ศอก เฉพาะให้คนเดินผ่านได้ นั้น ศาลฎีกาเชื่อว่าทางนี้มิใช่กว้างเพียงศอกเดียว แต่เคยกว้างมากกว่านั้น ขนาดเกวียนผ่านเข้าออกไป แต่จำเลยได้ปลูกยุ้งเบียดทางนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ และรับกันในสำนวนว่า จำเลยเพิ่งรื้อยุ้งข้าวนั้นขายไปได้ ๓ ปีมาแล้ว ตกเป็นเวลาที่มียุ้งข้าวเบียดทางนี้อยู่ถึง ๑๕-๑๖ ปี
ปัญหาจึงมีว่า ในระหว่าง ๑๕-๑๖ ปีนั้น ทางรายนี้ซึ่งเกวียนเคยผ่านเข้าออกได้ ยังคงเข้าออกได้เช่นเคยหรือไม่
ศาลฎีกาได้พิจารณาขนาดกว้างของยุ้ง ความกว้างของเกวียน ช่องว่างระหว่างเสาเรือนจำเลยกับยุ้งข้าว และช่องว่างจากยุ้งข้าวไปถึงเสารั้วบ้านนายเบ้า ซึ่งเป็นเส้นทางพิพาทแล้ว ปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นได้ออกไปตรวจและวัดระยะมา เกวียนจึงกว้างมากกว่าช่องว่างที่เหลืออยู่เป็นเส้นทางถึง ๕๘ เซนติเมตร ย่อมเห็นชัดว่า เมื่อมียุ้งข้าวปลูกอยู่นั้น เกวียนจะผ่านเข้าออกหาได้ไม่ จริงอยู่โจทก์ได้แถลงต่อศาลแก้ขนาดกว้างของยุ้งข้าวจาก ๒.๖๕ เมตร เหลือ ๒.๒๕ เมตร แม้จะลดขนาดกว้างของยุ้งลงเสีย ๔๐ เซนติเมตร ให้เหลือเท่าที่โจทก์อ้าง โดยเลื่อนลอยนั้น ช่องว่างที่เหลือเป็นเส้นทางก็ยังแคบกว่าเกวียนอีก ๑๘ เซนติเมตร และเกวียนจะผ่านเข้าออกไม่ได้อยู่ดี
เมื่อยุ้งข้าวปลูกอยู่ ๑๕-๑๖ ปี ทำให้เกวียนผ่านเข้าออกไม่ได้แล้ว แม้ทางรายนี้จะเคยตกเป็นภาระจำยอมให้ใช้เกวียนได้ แต่มิได้ใช้เสียแล้วถึง ๑๕-๑๖ ปี ย่อมสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยื มาตรา ๑๓๙๙ ที่จะใช้เกวียนแล้วตั้งแต่ก่อนจำเลยรื้อยุ้งข้าวขายไปแล้ว คงเหลือแต่ภาระจำยอมที่จะใช้เป็นทางเดินเท่านั้น และเมื่อรื้อยุ้งข้าวขายไปแล้วก็จะได้ใช้ทางเกวียนกันใหม่อีกหรือไม่ ก็เป็นเพียง ๓ ปีเท่านั้น หาทำให้ภารจำยอมที่จะใช้เกวียนกลับมีขึ้นอีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๐ หรือมาตรา ๑๔๐๑ ไม่ จำเลยยอมเปิดเป็นทางให้เฉพาะคนเดิมผ่านไปมา ไม่ยอมเปิดเป็นทางให้เกวียนผ่านเข้าออกเช่นนี้ ชอบที่จำเลยจะกระทำได้ ฟ้องโจทก์จึงตกไป
การวินิจฉัยว่า ภารจำยอมต้องสิ้นไปเช่นนี้ ไม่เป็นการนอกประเด็น เพราะแม้จำเลยจะมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นชัด ๆ ว่า ภารจำยอมได้สิ้นไปโดยอายุความเพราะปลูกยุ้งข้าวเบียดทางก็ตาม แต่จำเลยก็ต่อสู้อยู่ว่า จำเลยเปิดที่เป็นทางให้คนเดินกว้าง ๑ ศอก นาน ๑๗-๑๘ ปี จำเลยไม่เคยเปิดเป็นทางเกวียนเลย ศาลชั้นต้นจึงกำหนดประเด็นให้สืบกันเพียงว่า ทางนี้กว้างเท่าใด ฝ่ายโจทก์สืบว่า ทางกว้างขนาดเกวียนผ่านเข้าออกได้มา ๔๐ ปีแล้ว ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า ได้ปลูกยุ้งข้าวขึ้นเกวียนผ่านไม่ได้มา ๑๖ ปีแล้ว เพิ่งรื้อยุ้งข้าวขายเมื่อ ๓ ปีนี้ เมื่อฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ ก็เท่ากับฟังว่า ทางนี้กว้างไม่ถึงขนาดเกวียนผ่านได้สมตามที่จำเลยต่อสู้ เพราะโจทก์นำสืบฟังได้ด้วยว่าก่อนจำเลยปลูกยุ้งข้าว ทางรายนี้ตกอยู่ในภารจำยอมและมีความกว้างถึงขนาดเกวียนผ่านเข้าออกได้ ดังนี้ ประเด็นในข้อกฎหมายจึงเกิดตามขึ้นมาทันทีว่า โจทก์จะบังคับให้จำเลยกลับเปิดทางให้มีความกว้างขนาดเกวียนผ่านเข้าออกดังแต่เดิมมาได้หรือไม่
ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายนี้ แม้จะเกี่ยวกับอายุความ ก็เป็นอายุความได้สิทธิและเสียสิทธิในภารจำยอม หาใช่อายุความนำคดีมาฟ้องร้องไม่ ชอบที่ศาลจะยกขึ้นเป็นประเด็นวินิจฉัยได้
โจทก์กล่าวในชั้นอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีเป็นเรื่องทางจำเป็น แต่หาได้ยกขึ้นวินิจฉัยให้บังคับจำเลยตามกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นไม่นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า เท่าที่พิพาทกันนี้ ไม่มีประเด็นถึงเรื่องทางจำเป็น แต่ตั้งรูปพิพาทกันในเรื่องภารจำยอมเท่านั้น และพิพาทกันเฉพาะในส่วนที่จะให้เป็นทางเกวียน ส่วนทางที่คนจะใช้เดินผ่านไปมานั้น จำเลยยอมรับว่ามีอยู่แล้ว ดังนี้ จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยหรือกล่าวถึงเรื่องทางจำเป็นเลย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share