แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาตามยอม ให้จำเลยออกจากที่ดินที่เช่า โดยครบกำหนดตามสัญญาแล้ว ย่อมบังคับให้ผู้ที่เช่าห้องจากจำเลยบนที่พิพาทออกจากที่ดินได้ด้วย เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์อันใดกับโจทก์ การที่ผู้เช่าห้องอยู่บนที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ว่ากล่าวนั้นไม่ทำให้เกิดสิทธิที่จะอยู่ต่อไปในเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้อยู่จึงอ้าง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้ เนื่องจากการที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ โดยครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ในที่สุดจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมออกจากที่พิพาท รวมทั้งบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 1 เดือน ศาลแพ่งพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
นายฮก แซ่ติ่ง กับพวกรวม 20 คน ผู้อยู่ในห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ไม่ยอมออกไปจากที่ โจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยขอให้ศาลบังคับ นายฮก แซ่ติ่ง กับพวกรวม 20 คน ร้องว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย ขอต่อสู้ว่าผู้ร้องได้เช่าห้องเลขที่ต่าง ๆ กันจากจำเลยเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาเป็นเวลาหลายปี ที่ดินที่ปลูกโรงเรือนจะเป็นของโจทก์หรือไม่ ผู้ร้องไม่รับรอง หากที่ดินดังกล่าวจะเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะนำคำบังคับมาใช้บังคับกับผู้ร้องได้เพราะผู้ร้องไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ผู้ร้องได้อยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจึงไม่ใช่บริวารของจำเลยแม้ศาลจะฟังว่าเป็นการเช่าหรือใช้ประโยชน์บนที่ดินของโจทก์ก็ตามผู้ร้องขอเรียกว่าโจทก์ได้ให้ความยินยอมแล้ว
ศาลแพ่งทำการสอบถาม ทนายผู้ร้องแถลงว่าห้องแถวที่จำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ การที่ผู้ร้องอยู่ในที่นี้ได้ก็โดยความยินยอมของโจทก์ แต่การยินยอมของโจทก์นี้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ ที่นี้ก่อนเป็นของโจทก์นั้น เจ้าของที่ดินเห็นพวกผู้ร้องอยู่ก็ไม่ได้ทักท้วงอย่างไร ครั้นที่ดินนี้เป็นของโจทก์ ๆ ก็เห็นพวกผู้ร้องอยู่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวทักท้วงอย่างไร บางคนได้บอกกับโจทก์ว่าจำเลยจะไล่ โจทก์กลับบอกว่าไม่เป็นไรให้อยู่ไป
ศาลแพ่งเห็นว่า ที่ผู้ร้องว่าโจทก์ยินยอมนั้น ก็เพียงไม่ทักท้วงว่ากล่าวจะถือว่ายินยอมไม่ได้ ศาลไม่เชื่อว่าโจทก์จะยอมให้อยู่ ถ้ายอมให้อยู่แล้วจะมาขอให้ออกทำไม จึงสั่งบังคับให้พวกผู้ร้องออกไปจากที่
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยมีสิทธิเข้าไปปลูกโรงเรือนในที่พิพาทก็โดยเช่ามาจากโจทก์ ผู้ร้องเป็นผู้เช่าจากจำเลยอีกต่อหนึ่งสิทธิของผู้ร้องในการอยู่ในที่พิพาทก็โดยสืบเนื่องมาจากจำเลยนั่นเอง เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไปได้แล้ว ผู้ร้องก็ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยได้ ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลต้นวินิจฉัยโดยถือข้อเท็จจริงเดิมว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยนั้น หาถูกต้องไม่เพราะข้อเท็จจริงแท้จริงของคดีนี้มีว่า ผู้ร้องได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์อย่างไรหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงวินิจฉัยผิดประเด็น
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องที่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นในคดีนี้ ผู้ร้องก็ยืนยันอยู่ว่าผู้ร้องไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ การที่ผู้ร้องเข้าอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ยังไม่ว่ากล่าวประการใดนั้น หาทำให้เกิดสิทธิที่จะคงอยู่ต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้อยู่ ผู้ร้องไม่มีทางที่จะอ้างว่ามีการเช่าระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ที่จะอาศัยความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันที่มีอยู่ในขณะนี้ได้ ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาผู้ร้อง และให้ผู้ร้องเสียค่าทนายความในชั้นนี้อีก 150 บาท แทนโจทก์ด้วย