คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1773/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำวินิจฉัยของศาลฎีกาในคดีนี้กับคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในอีกคดีหนึ่งมีข้อความไม่เหมือนกันในสาระสำคัญในทำนองที่ว่าโจทก์คดีนี้เป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกในที่ดินพิพาทของเจ้ามรดกหรือโจทก์ถูกตัดมิให้ได้รับมรดกจึงยังเป็นปัญหาที่น่าสงสัยอยู่ และจำเลยคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลในคดีแพ่ง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 กับพวกในคดีดังกล่าวร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานะผู้รับมรดกตามพินัยกรรม คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ดังนี้หากจะให้มีการบังคับคดีต่อไปแล้วและในชั้นที่สุดจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี การบังคับคดีก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป และหากมีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไปแล้ว การบังคับคดีของจำเลยอาจจะไร้ประโยชน์ อันเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายและการงดบังคับคดีของโจทก์ไว้ชั่วคราวไม่น่าจะเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพียงแต่ทำให้โจทก์บังคับคดีช้าไปบ้างเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจให้งดการบังคับคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีดังกล่าวตามที่จำเลยร้องขอซึ่งทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี จึงนับว่ามีเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292(2)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางคล้าม เพ็งสุข แบ่งทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 47705 และ 47706 ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานครให้แก่โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรม 1 ใน 6 ส่วนหากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์1 ใน 6 ส่วน
ต่อมาโจทก์ยืนคำขอต่อศาลชั้นต้นให้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2537 จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่8598/2537 ระหว่าง นายถนอม เพ็งสุข โจทก์ นางขันธ์ ร้ายใจบุญโดยนางเสมอ ยศทัพ ทายาทผู้รับมรดก ที่ 1 นางสมใจ จอกแก้วที่ 2 นายวุฒิชัย หรือวันดี แก้วสกุลณี ที่ 3 นายธานีพูลสุวรรณ ที่ 4 จำเลย นอกจากนี้ทายาทอื่นในกองมรดกที่ดินดังกล่าวยังได้ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ 7583/2528หมายเลขแดงที่ 17758/2530 ระหว่าง นายสำรววย นาคอุไร ที่ 1นางสมใจ จอกแก้ว ที่ 2 โจทก์ นายถนอม เพ็งสุข จำเลย และคดีหมายเลขแดงที่ 8802/2528 หมายเลขแดงที่ 17760/2530 ระหว่างนายนิยม แก้วสกุลณี โจทก์ นายถนอม เพ็งสุข จำเลย ศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม ปรากฎว่าโจทก์ในคดีนี้ไม่มีสิทธิรับมรดกที่ดินพิพาท จึงขอให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีนี้ไว้ก่อนเพื่อรอผลการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8598/2537 โจทก์แถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำพิพากษาฎีกาทั้งสองคดีกับคำพิพากษาฎีกาในคดีนี้ยังขัดกันอยู่ ประกอบกับจำเลยยื่นฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง ซึ่งคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด หากศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีการบังคับคดีก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปการงดบังคับคดีไว้ก่อนไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่โจทก์ในคดีนี้คำร้องของจำเลยที่มีเหตุอันสมควร จึงให้งดการบังคับคดีนี้ไว้ก่อนเพื่อรอคำวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8598/2537
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาฎีกาในคดีนี้เจ้ามรดกทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองตามเอกสารหมาย จ.9เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2511 มีใจความว่า เจ้ามรดกไม่ประสงค์จะยกทรัพย์สินให้แก่ทายาทคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงจึงทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองเอกสารหมาย จ.9 ยกเลิกพินัยกรรมฉบับอื่นทั้งสิ้น อันเป็นผลทำให้ทรัพย์มรดกทั้งหมดตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมทุกคนโจทก์เป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่งจึงมีสิทธิรับมรดกตามฟ้อง ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7583/2528 หมายเลขแดงที่ 17758/2530 ระหว่างนายสำรวย นาคอุไร ที่ 1 นางสมใจ จอกแก้ว ที่ 2 โจทก์นายถนอม เพ็งสุข จำเลย และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8802/2528หมายเลขแดงที่ 17760/2530 ระหว่าง นายนิยม แก้วสกุลณี โจทก์นายถนอม เพ็งสุข จำเลย ซึ่งศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณานั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พินัยกรรมฉบับ พ.ศ. 2500 ได้ถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ลงวันที่ 22 กันยายน 2510 ตามเอกสารหมาย จ.15 กำหนดว่าให้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 47705 และ 47706 ทั้งหมดแล้วแบ่งออกเป็น 10 ส่วนเท่า ๆ กัน โดย 5 ส่วนให้ทำศพเจ้ามรดกหากมีเหลือให้สร้างตึกให้แก่วัดลาดพร้าว อีก 5 ส่วนให้แบ่งแก่นางสาวสายหยุด เพ็งสุข 1 ส่วน ให้เด็กชายชอบ เพ็งสุข 1 ส่วนให้เด็กชายวันดี แก้วสกุลณี 1 ส่วน ให้เด็กหญิงเสมอ ร้ายใจบุญ1 ส่วน และให้โจทก์ที่ 2 ตามคดีหมายเลขดำที่ 7583/2528 ของศาลชั้นต้น 1 ส่วน นอกนั้นไม่มีชื่อผู้อื่นได้รับมรดก และจำเลยนำสืบไม่ได้ว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมฉบับที่สามขึ้นใหม่ยกทรัพย์มรดกให้แก่จำเลย จึงไม่มีพินัยกรรมของเจ้ามรดกมาเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง ฉบับลงวันที่ 22 กันยายน 2510 เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในคำพิพากษาทั้งสองฉบับมีข้อความไม่เหมือนกันในสาระสำคัญในทำนองที่ว่าโจทก์คดีนี้เป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดกในที่ดินพิพาทของเจ้ามรดกหรือถูกตัดมิให้ได้รับมรดก จึงยังเป็นปัญหาที่น่าสงสัยอยู่ และประการสำคัญปรากฎว่าจำเลยคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 8598/2537ระหว่างนายถนอม เพ็งสุข โจทก์ นางขันธ์ ร้ายใจบุญ โดยนางเสมอยศทัพ ทายาทผู้รับมรดก ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน จำเลย โดยขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 กับพวกในคดีดังกล่าวร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ ในฐานะผู้รับมรดกตามพินัยกรรมคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลแพ่ง จำเลยจึงได้ยื่นคำร้องของดการบังคับคดีไว้ก่อน ซึ่งหากจะให้มีการบังคับคดีต่อไปแล้วและในชั้นที่สุดจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี การบังคับคดีก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปและหากมีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไปแล้ว การบังคับคดีของจำเลยอาจจะไร้ประโยชน์อันเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายแต่ถ้าจะให้มีการงดบังคับคดีของโจทก์ไว้ชั่วคราวก่อน ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพียงแต่ทำให้โจทก์บังคับคดีช้าไปบ้างเท่านั้น ด้วยเหตุดังกล่าวหากศาลจะใช้ดุลพินิจให้งดการบังคับคดีตามที่จำเลยร้องขอไว้ก่อนแล้วก็น่าจะทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี ดังนั้น จึงนับว่ามีเหตุอันสมควรที่จะงดการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)
พิพากษายืน

Share