แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าของเรือนกู้เงินโจทก์จำเลยต่อมาจำเลยจะรื้อเอาเรือนไป โจทก์คัดค้าน ในที่สุดจำเลยตกลงจะใช้หนี้ให้โจทก์แทนเจ้าของเรือนโดยโจทก์เลิกคัดค้าน มอบเรือนให้จำเลยไป ดังนี้ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีผลสมบูรณ์ผูกพันกันตามกฎหมายได้ และหากจำเลยไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ก็เป็นการแปลงหนี้เดิมมาเป็นหนี้กู้ยืมเงินซึ่งมีผลสมบูรณ์และบริบูรณ์ตามกฎหมาย ผูกพันกันได้ตามสัญญากู้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓ จำเลยทำหนังสือกู้เงินโจทก์ไป ๒,๐๐๐ บาท รับเงินไปแล้วครบกำหนดไม่ชำระ เตือนแล้วก็ผัด จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยทำสัญญาและรับเงินเป็นแต่ครั้งหนึ่ง โจทก์ได้ให้จำเลยเซ็นชื่อในสัญญารับซื้อเรือนของนายหล่อ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลย เพราะนายหล่อเป็นหนี้โจทก์อยู่ จำเลยจึงได้เซ็นชื่อรับซื้อเรือนนายหล่อไว้เท่านั้น สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องอาจปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือบางส่วนเพื่อฉ้อโกงจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้ากันสืบนายชอบปลัดอำเภอเสนาผู้เขียนสัญญากู้เป็นพยานร่วมเพียงคนเดียว แล้วให้ศาลพิพากษาคดีไปตามคำเบิกความของนายชอบนั้น โดยไม่สืบพยานอื่นอีก
นายชอบพยานร่วมเบิกความว่า พยานเป็นผู้เขียนสัญญากู้รายนี้ เมื่อเขียนแล้วได้อ่านให้โจทก์จำเลยฟัง ไม่มีใครคัดค้าน จึงให้โจทก์ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้ จำเลยลงชื่อในช่องผู้กู้ ในวันทำสัญญากู้ไม่มีการมอบเงินรับเงินกัน พยานทราบจากโจทก์จำเลยว่าเป็นหนี้เกี่ยวกับเรื่องเรือนโดยเจ้าของเรือนกู้เงินโจทก์จำเลยมา จำเลยจะรื้อเอาเรือนไปปลูกใหม่เพื่อให้เช่า โจทก์ไปคัดค้าน ในที่สุดจำเลยจึงตกลงกับโจทก์ว่าจะใช้หนี้ให้โจทก์แทนเจ้าของเรือนแล้วเรือนมอบให้จำเลยไป แต่เมื่อให้เรือนไปแล้ว จำเลยไม่มีเงินให้โจทก์ จึงได้ให้พยานทำหนังสือสัญญากู้รายนี้ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักฐาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้และรับเงินไปแล้ว แต่ได้ความว่า ไม่มีการรับเงินกัน ถึงหากข้อเท็จจริงต่อมาจะได้ความว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นเจ้าหนี้บุคคลภายนอกผู้เป็นเจ้าของเรือนซึ่งจำเลยเอาไป แต่โจทก์หาได้บรรยายคำฟ้องอ้างมูลเหตุแห่งหนี้ในข้อนี้ไม่ จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยรับเงินจำนวนที่กู้ไปแล้วโดยปริยาย คือ หักเป็นค่าเรือนให้เจ้าของเรือนใช้หนี้เงินกู้โจทก์ หรือนัยหนึ่ง จำเลยยอมรับเรือนแทนจำนวนเงินนั้น สัญญากู้จึงสมบูรณ์ พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน ๒,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาคำเบิกความของนายชอบแล้ว เห็นว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นเจ้าหนี้บุคคลซึ่งเป็นลูกหนี้คนเดียวกัน การที่จำเลยสัญญาจะใช้เงินแทนลูกหนี้เพื่อให้โจทก์เลิกคัดค้านการที่จำเลยจะเอาทรัพย์ของลูกหนี้ไป ย่อมเป็นสัญญาต่างตอบแทน และความตกลงหรือสัญญาเช่นนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นสัญญาที่มีผลสมบูรณ์ผูกพันต่อกันตามกฎหมาย เมื่อจำเลยไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยจึงทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ก็เป็นการแปลงหนี้เดิมมาเป็นหนี้กู้ยืมเงินซึ่งมีผลสมบูรณ์และบริบูรณ์ตามกฎหมาย และผูกพันกันตามสัญญากู้นี้ ฉะนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คำเบิกความของนายชอบสมตามฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยเป็นหนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลย ส่วนข้อที่ว่าในคำฟ้องกล่าวว่าจำเลยได้รับเงินกู้ไป แต่นายชอบเบิกความว่าจำเลยไม่ได้รับเงินกู้จากโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กล่าวความข้อนี้ตามข้อความที่มีระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้ และเรื่องรับเงินต่อกันหรือไม่ เป็นเรื่องปลีกย่อยไม่ใช่ประเด็นสำคัญของคดีนี้ จึงไม่เป็นเหตุให้ถือว่าดำเนินความของนายชอบไม่สมตามฟ้องของโจทก์ กรณีเช่นนี้ไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาไปถึงว่าความตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจะมีผลถึงลูกหนี้เดิมอย่างไร เพราะถึงแม้จะไม่มีผลปลดเปลื้องความรับผิดของลูกหนี้เดิม ความตกลงระหว่างโจทก์จำเลยก็คงมีผลผูกพันระหว่างโจทก์จำเลยอยู่ดังวินิจฉัยมาแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน