แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งเป็นความผิดอันไม่อาจยอมความได้นั้น แม้ไม่มีการร้องทุกข์ เจ้าพนักงานก็ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
จำเลยจับนมผู้เสียหายในรถประจำทางซึ่งมีคนโดยสารแน่นนั้น เป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล แม้มิได้มีพยานรู้เห็นการกระทำของจำเลยมาเบิกความในชั้นศาล
การที่จำเลยจับนมผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้อนุญาตยินยอมนั้น เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา 278 แล้ว
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารจับนมผู้เสียหายต่อหน้าธารกำนัลบนรถประจำทาง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาจากพยานหลักฐานในท้องสำนวน
ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาได้ความดังนี้ ตามวันเวลาที่โจทก์หา ผู้เสียหายอายุ 19 ปี ขึ้นรถประจำทางสายกรมที่ดิน-คลองเตยที่สะพานน้อยในรถนั้นมีคนแน่น ที่นั่งเต็มหมด ผู้เสียหายต้องยืน จำเลยยืนอยู่ข้างหลังผู้เสียหายและดันหลังผู้เสียหาย เมื่อต้นเดือนเดียวกันจำเลยเคยจับของลับผู้เสียหายครั้งหนึ่งแล้วเมื่อจำเลยมาดันอยู่ข้างหลัง ผู้เสียหายก็เดินหนีไปข้างหน้าและได้ที่นั่งจึงนั่งลง สักครู่จำเลยก็มายืนชิดผู้เสียหาย พอรถเลี้ยวจำเลยก็เอามือซ้ายจับนมข้างขวาของผู้เสียหายโดยจับนอกเสื้อผู้เสียหายรู้สึกอายมาก จึงผลักมือจำเลยเมื่อรถถึงสี่แยกปทุมวันจำเลยลงจากรถ ผู้เสียหายก็ตามลงไปและบอกตำรวจ พาตำรวจไปจับจำเลยได้ ข้อเท็จจริงได้ความดังนี้
1. จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายยังไม่บรรลุนิติภาวะ อำนาจปกครองอยู่แก่บิดามารดาจะร้องทุกข์ได้ต้องได้รับอนุญาตและยินยอมจากบิดามารดา ปัญหานี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย อย่างไรก็ตาม คดีนี้เหตุเกิดต่อหน้าธารกำนัล จึงมิใช่ความผิดอันยอมความได้ แม้จะมิได้มีการร้องทุกข์ เจ้าพนักงานก็ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
2. จำเลยฎีกาว่า สถานที่เกิดเหตุบนรถเมล์ประจำทางมิได้มีพยานรู้เห็นการกระทำของจำเลยมาเบิกความในศาล จึงมิใช่เป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล ศาลฎีกาเห็นว่าศาลฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยจับนมผู้เสียหายในรถประจำทางซึ่งมีคนโดยสารแน่นเป็นการกระทำต่อหน้าธารกำนัล
3. จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายมิได้เบิกความว่า การที่จำเลยจับนมนั้นผู้เสียหายมิได้ยินยอมหรือไม่สมัครใจแสดงกิริยาขัดขืนการจับนี้จึงรับฟังไม่ได้ว่าใช้กำลังกายบังคับหรือขู่เข็ญผู้เสียหายศาลฎีกาเห็นว่า ข้อนี้ก็มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ อย่างไรก็ดีการที่จำเลยจับนมผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้อนุญาตยินยอมนั้น เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 แล้ว
ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน