แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 และพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2477 มาตรา 29(4), 66 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว จำเลยที่1ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 กระทำประมาทฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้องแม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในเรื่องบาดแผลมาด้วย ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
แม้การขับรถของจำเลยเป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง ต่างเสียหายมากอย่างไรก็ตาม เมื่อลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายที่ได้รับมีเพียงเจ็บบริเวณข้อศอกและปลายแขนซ้ายมีรอยช้ำเล็กน้อย รักษาประมาณ 2 วัน เท่านี้ ยังไม่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังไม่ชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงผ่านทางสี่แยกเพื่อให้เห็นความปลอดภัยในทางข้างหน้าเสียก่อน ต่างขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า ๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกินกว่าอัตราความเร็วที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นการขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ผิดปกติวิสัยของการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ทำให้รถทั้งสองคันชนกันอย่างแรง เป็นเหตุให้นายสุรพล เตวิทย์ ซึ่งโดยสารมาบนรถของจำเลยที่ ๑ ได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บ รักษา ๒ วันหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙(๔),๖๖ พระราชบัญญัติจราจรทางบกแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗, ๑๓ กฎกระทรวงมหาดไทยออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) ข้อ ๑๑
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องแต่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๐ ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกคนละ ๑๕ วัน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนคนละ ๑๕ วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่เห็นว่า ลักษณะบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับยังถือไม่ได้ว่าได้รับอันตรายแก่กาย คงเป็นความผิดเฉพาะฐานขับรถโดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกเท่านั้น และเป็นเหตุลักษณะคดี พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙(๔), ๖๖แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗, ๑๓ ปรับคนละ ๕๐๐ บาทคำขออื่นให้ยก
โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ฝ่ายเดียวว่า เหตุคดีนี้ จำเลยที่ ๒ประมาทฝ่ายเดียว มิได้อุทธรณ์ในเรื่องบาดแผลของผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์กลับหยิบยกลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายขึ้นวินิจฉัย แล้วพิพากษาแก้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ เป็นการนอกอุทธรณ์ มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๒, ๒๑๕ และการขับรถของจำเลยทั้งสองน่าหวาดเสียวเป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง และต่างเสียหายมาก บาดแผลของผู้เสียหายจึงถือว่าเป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ แล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า เหตุคดีนี้ จำเลยที่ ๒กระทำประมาทฝ่ายเดียว ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๑ ปล่อยจำเลยที่ ๑ พ้นข้อหาไปนั้นย่อมหมายถึงว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องและที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดมา เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าบาดแผลของนายสุรพล เตวิทย์ ที่ปรากฏในทางพิจารณามีลักษณะไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย อันจะทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยแล้วแม้จำเลยที่ ๑ มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในเรื่องบาดแผล ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกส่วนที่เป็นคุณขึ้นวินิจฉัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยได้ จะถือว่าเป็นการนอกฟ้องอุทธรณ์ดังโจทก์ฎีกามาหาได้ไม่ และศาลฎีกาเห็นว่า แม้การขับรถของจำเลยเป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรงและต่างเสียหายมากอย่างไรก็ตามแต่ลักษณะบาดแผลของนายสุรพลเตวิทย์ ตามรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องซึ่งนายสุรพล เตวิทย์ก็ยอมรับว่าได้รับบาดเจ็บตามนั้น มีว่า เจ็บบริเวณข้อศอกและปลายแขนซ้ายมีรอยช้ำเล็กน้อย รักษาประมาณ ๒ วัน เพียงเท่านี้ยังไม่รุนแรงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๐ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์