คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อความในฟ้องของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาในคดีนี้ว่าเป็นฟ้องเท็จ มีข้อความยืดยาว มิได้เป็นเท็จไปทั้งหมดและโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์กระทำผิดนั้น เป็นเท็จอย่างไร ฟ้องของโจทก์ย่อมไม่พอจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2513 จำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์กับพวกต่อศาลแขวงลำปาง เป็นคดีอาญาหาว่าร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ว่าจำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางกาบจันทร์ เลิศคชสีห์ และเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับนางกาบจันทร์ เลิศคชสีห์ ร่วมกัน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 1301 ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เฉพาะส่วนสิทธิรับมรดกของนางกาบจันทร์ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางคำตันทนานนท์ เจ้ามรดก เป็นจำนวนส่วนหนึ่งในหกของที่ดินดังกล่าวเป็นราคาประมาณ 200,000 บาท เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2504 เวลากลางวัน โจทก์กับพวก 5 คนได้ร่วมกันกระทำทุจริต ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยและนางกาบจันทร์ซึ่งเป็นผู้ถือโฉนดที่ดินดังกล่าวมาแล้วให้ส่งมอบให้โจทก์กับพวก โดยโจทก์กับพวกสมคบกันใช้นางลมูลเป็นผู้กล่าวหลอกลวงด้วยวาจาแก่นางกาบจันทร์และจำเลยให้ยินยอมส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์กับพวก โดยโจทก์กับพวกจะให้นายบุญสมไปลงชื่อถือกรรมสิทธิ์เป็นผู้รับมรดกของนางคำแต่ผู้เดียว เพื่อสะดวกแก่การจำหน่ายเอาเงินมาแบ่งปันกันตามส่วน นางกาบจันทร์และจำเลยหลงเชื่อว่าเป็นความประสงค์ที่แท้จริง จึงยอมมอบโฉนดดังกล่าวให้ไป ทั้งนี้จำเลยรู้อยู่แล้วว่าในวันนั้นโจทก์มิได้ร่วมกับพวกมาพบปะนางกาบจันทร์และจำเลยที่จังหวัดลำปางและมิได้ร่วมกับพวกพูดจาหลอกลวงให้นางกาบจันทร์และจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องของจำเลยเพราะในวันนั้นโจทก์อยู่ที่จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 181

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวถึงแต่ข้อความที่เป็นเท็จไม่ได้บรรยายว่าความจริงเป็นอย่างไร ทั้งการกระทำของจำเลยขาดเจตนา ไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่กล่าวยืนยันความจริงมาในฟ้องว่าอย่างไร จึงขาดองค์ประกอบอันสำคัญ ทำให้ฟ้องไม่สมบูรณ์ พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่าฎีกาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 มีคำสั่งไม่รับ

โจทก์ฎีกาคำสั่ง ศาลฎีกาสั่งว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับและวินิจฉัยว่า คำฟ้องของจำเลยที่โจทก์ยกขึ้นกล่าวในฟ้องของโจทก์มีข้อความยืดยาว โจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าข้อความเหล่านั้นเป็นเท็จทั้งหมดหรือไม่ แต่เป็นที่เห็นได้ว่าข้อความบางอย่าง เช่น จำเลยเป็นสามีของนางกาบจันทร์ หรือที่ดินโฉนดเลขที่ 1301 เป็นของนางคำเจ้ามรดก ไม่น่าจะเป็นเท็จ เฉพาะข้อที่จำเลยกล่าวหาโจทก์ซึ่งในฟ้องระบุว่าโจทก์กับพวกสมคบกันให้นางลมูลเป็นผู้กล่าวหลอกลวงนางกาบจันทร์และจำเลยด้วยวาจาให้ส่งมอบโฉนดให้นั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องกล่าวหาว่าโจทก์กับพวกใช้ให้นางลมูลเป็นผู้ไปพูดหลอกลวง ไม่ใช่ว่าโจทก์กับพวกได้ไปพบปะร่วมพูดจาหลอกลวงนางกาบจันทร์และจำเลยด้วย ซึ่งข้อนี้โจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่น ข้อที่จำเลยกล่าวหาโจทก์จะเท็จหรือจริงจึงอยู่ที่ว่าโจทก์ได้ใช้ให้นางลมูลไปพูดหลอกลวงฉ้อโกงจำเลยและนางกาบจันทร์จริงหรือไม่ เมื่อข้อความในฟ้องของจำเลยมิได้เป็นเท็จไปทั้งหมดและโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าข้อความที่จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดนั้นเป็นเท็จอย่างไร ฟ้องของโจทก์ก็ย่อมไม่พอจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าวันนั้นโจทก์ไม่ได้ร่วมสมคบกับพวกพูดจาหลอกลวงนางกาบจันทร์และจำเลย และโจทก์ไม่ได้มาพบนางกาบจันทร์และจำเลยที่จังหวัดลำปาง เพราะโจทก์อยู่ที่จังหวัดพระนคร นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความเท็จหรือจริงในข้อที่โจทก์ถูกจำเลยกล่าวหาฟ้องของโจทก์จึงไม่มีมูลที่จะรับไว้พิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share