แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ว่า “เป็นลูกหมา”แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ “พูดจากลับกลอก” และ “พูดหมา ๆ” ด้วยนั้นแม้โจทก์จะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างแต่ถ้อยคำนั้นก็เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาทว่าโจทก์เป็นหมาโดยตรงทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์เคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจาประชดประชันด้วยอารมณ์หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณียังไม่ถึงขนาดที่จะฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2342จำนวน 12 ไร่ 88 ตารางวา ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรโดยทำเป็นหนังสือยกให้และจดทะเบียนแล้ว ต่อมาจำเลยมีเรื่องทะเลาะกับพี่ชายและน้องชาย โจทก์ทั้งสองว่ากล่าวตักเตือนจำเลยกลับโกรธเคืองโจทก์ทั้งสองและนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2342 กับหนังสือยกให้ดังกล่าวมาโยนให้โจทก์แล้วพูดว่า “กูไม่ต้องการจะได้””ผมไม่ใช่ลูกแม่” โจทก์ที่ 2 พูดว่า “เจ้าลูกใคร” จำเลยก็พูดว่า”เป็นลูกหมา” และได้พูดต่อไปว่า จะไม่นับถือโจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาต่อไป และขับไล่โจทก์ที่ 2 ออกจากบ้านอันเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยไปโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342 คืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยพูดด่าว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหมาหรือพูดเปรียบเทียบว่าโจทก์ทั้งสองเป็นหมา ไม่เคยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน และไม่เคยกระทำการใดอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายคำพันโจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมนางบุญธรรมโจทก์ที่ 2 ทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองให้จำเลยคืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2342แก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ที่ 2 ว่า “เป็นลูกหมา” แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ที่ 2 “พูดจากลับกลอก” และ “พูดหมา ๆ” ด้วยนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างก็ตาม แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2″ “พูดจากลับกลอก” และ”พูดหมา ๆ” นั้น เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ที่ 2 ตามที่โจทก์ทั้งสองบรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองนำสืบนอกฟ้อง นอกประเด็นแต่อย่างใดไม่
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ทั้งสองข้อต่อไปมีว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่นหมิ่นประมาทว่าโจทก์ทั้งสองคนใดคนหนึ่งเป็นหมาโดยตรงเช่นคำพิพากษาฎีกาที่ 31/2531 ที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์ทั้งสองเคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลย แล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจา ประชดประชันโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาด้วยอารมณ์ได้ หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ทั้งสองต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมื่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรง เหตุที่ปรากฏในคดีนี้ยังมีไม่ถึงขนาดที่จะพอฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอย่างใดอย่างหนึ่งต่อโจทก์ทั้งสองผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
พิพากษายืน