คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น การชั่งน้ำหนักพะยานหลักฐานแห่งคดี จึงควรเป็นไปโดยลักษณะความแพ่ง กล่าวคือเทียงเคียงน้ำหนักคำพะยานทั้งสองฝ่ายประกอบกับพฤตติการณ์แห่งคดีว่าควรจะเชื่อฝ่ายใด ศาลไม่จำต้องพิเคราะห์คำพะพยาน หลักฐานอย่างคดีอาญาอันว่าด้วย การที่จำเลยจะต้องรับโทษ
พฤตติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้รับประพฤติเนรคุณ โดยผู้รับได้หมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามมาตรา 531(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรเขยโจทก์-ได้ยกที่ดิน ๓ แปลง เรือนฝากระดาน พร้อมด้วยครัวไฟ กับโคผู้ ๖ ตัวให้เป็นกรรมสิทธิแก่จำเลยโดยเสน่หา เพราะจำเลยรับรองว่าจะให้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์จนตลอดชีวิต การยกให้ที่ดิน-ได้ทำนิติกรรมที่อำเภอ เนื่องจากแบบพิมพ์การยกให้ไม่มี เจ้าพนักงานจึงใช้แบบพิมพ์ซื้อขายแทน และกำหนดราคาตกลงไว้เพื่อสะดวกในการเก็บค่าธรรมเนียม บัดนี้จำเลยประพฤติเนรคุณ กล่าวคือ ได้หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เช่นกล่าวคำหยาบคายต่อโจทก์ต่าง ๆ นานา ไม่เคารพยำเกรงโจทก์ ซึ่งมีอุปการะคุณ และเป็นพ่อตาของจำเลย มิหนำซ้ำจำเลยยังขับไล่ไสส่งมิให้โจทก์อยู่กินกับจำเลยด้วย โจทก์ทนความทารุณโหดร้ายของจำเลยไม่ไหว โจทก์จึงต้องไปอาศัยผู้อื่นตลอดจนทุกวันนี้ โจทก์ได้ไปขอความอุปการะจากจำเลยแล้ว จำเลยก็บอกปัด โจทก์ตกเป็นคนยากไร้ ไม่สามารถประกอบอาชีพใด ๆ ได้ โจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยอย่างคนอนาถาครั้งหนึ่งแล้ว จำเลยยอมคืนเรือนฝากระดาน ๑ หลัง พร้อมด้วยครัวไฟและโคผู้ ๑ ตัวให้โจทก์รับไปแล้ว จึงขอให้เพิกถอนคืนการให้ที่ดิน ๓ แปลง และโคผู้ ๕ ตัว ถ้าคืนทรัพย์ไม่ได้ ก็ให้ใช้ราคา จำเลยให้การว่า โจทก์ทำสัญญาขายขาดที่ดินทั้ง ๓ แปลงให้แก่จำเลย เพราะจำเลยออกเงินใช้หนี้แทนโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิแก้เอกสารที่ทำต่อหน้ากรมการอำเภอตาม ป.ม.วิ.แพ่ง ม.๙๔ ส่วนโคผู้ ๖ ตัวนั้น โจทก์ไม่ได้ยกให้จำเลยดังฟ้อง ที่โจทก์ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโดยด่าว่าและขับไล่นั้นไม่จริง โจทก์ไม่ใช่คนยากไร้ แม้เช่นนั้นจำเลยก็ได้ส่งเสียต่อโจทก์หลายครั้ง ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ยกที่ดินและโคให้แก่จำเลยจริงดังฟ้อง และจำเลยได้ประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ จึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ได้ยกทรัพย์ตามฟ้องให้จำเลยจริง แต่เห็นว่าการที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยประพฤติเนรคุณ และขอให้ถอนคืนการให้นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวถ้อยคำมาในคำฟ้องให้เห็นว่าเป็นการร้ายแรงหรือไม่ เป็นการเคลือบคลุมอยู่ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ เป็นคดีแพ่ง เรียกถอนคืนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ การชั่งน้ำหนักคำพะยานหลักฐานในคดี จึงควรเป็นไปโดยลักษณะความแพ่ง กล่าวคือ เทียบเคียงน้ำหนักคำพะยานทั้ง ๒ ฝ่าย ประกอบกับพฤตติการณ์แห่งคดีว่า จะควรเชื่อฝ่ายใด ศาลไม่จำต้องพิเคราะห์คำพะยานหลักฐานอย่างคดีอาญา อันว่าด้วยการที่จำเลยจะต้องได้รับโทษ ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อแตกต่างแห่งคำพะยานโจทก์ เช่น หมิ่นประมาทในเดือนสี่ หรือเดือนห้า หรือตำหนิถ้อยคำในฟ้องที่ไม่กล่าวว่าหมิ่นประมาทร้ายแรงอย่างไร เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทำหนังสือจดทะเบียนยกที่ดิน ๓ แปลงกับโคให้แก่จำเลยแล้ว โจทก์ได้อาศัยอยู่ในที่ดินนั้น ต่อมาโจทก์ได้ไปอาศัยอยู่กินกับบุตรเขยคนอื่นแล้ว ฟ้องจำเลยเรียกถอนคืนการให้ โดยขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จำเลยคัดค้านว่าไม่อนาถาแล้ว กลับยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา หาว่าแจ้งความเท็จ โดยเหตุผลที่ว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องเท็จว่าตนเป็นคนอนาถา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ระหว่างนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขึ้นอีก โจทก์สืบพะยานว่าจำเลยด่าว่าโจทก์ เช่น “อ้ายแก่ เดี๋ยวถูกเตะ” และ “อ้ายหมาสองรางกลัมากินอีกหรือ ไปนะ ไม่ไปจะเตะส่ง ขืนมาอยู่ที่นี่จะโดนส้นตีน” เป็นต้น พะยานโจทก์ที่ได้ยินจำเลยด่า และเห็นจำเลยผลักไสแม้จะเบิกความแตกต่างกันบ้าง เช่น เหตุการณ์ตอนไหนเกิดขึ้นเดือนสี่ หรือเดือนห้าก็ดี จะเรียกว่านอกประเด็นไม่ได้ เพราะประเด็นมีแต่เพียงว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่ และพิเคราะห์ดูพฤตติการณ์ของจำเลยที่ปฏิบัติต่อโจทก์ในเวลาต่อมานี้ แล้วจะเห็นว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา จำเลยยังพยายามเบี่ยงบ่ายว่าเป็นการซื้อขาย ซึ่งไม่มีมูลจะฟังเช่นนี้ ซ้ำจำเลยยังพยายามจะให้โจทก์ต้องรับอาญาถึงจำคุกโดยฟ้องหาว่าโจทก์แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานแสดงให้เห็นว่า จำเลยเป็นศัตรูต่อโจทก์โดยเปิดเผย ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยประพฤติหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จนโจทก์ไม่ทนอาศัยอยู่กับจำเลยได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น.

Share