แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เอาประกันชีวิตระหว่างเดินทางเอาประกันไว้กับบริษัทหนึ่งแล้วขอเลื่อนวันเดินทาง บริษัทยังไม่อนุมัติ กับได้ขอเอาประกันกับอีกบริษัทซึ่งยังไม่ตอบรับ ผู้นั้นเอาประกันกับบริษัทจำเลยอีก ข้อความที่ว่าไม่เคยประกันภัยเกี่ยวกับอุบัติเหตุกับบริษัทอื่นก่อนเป็นข้อสำคัญที่จำเลยอาจบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา แต่การประกันภัยครั้งนี้เป็นคนละระยะเวลากับครั้งก่อนที่ยังไม่อนุมัติเลื่อนการเดินทางจึงถือไม่ได้ว่าได้เอาประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นก่อน
การบอกล้างโมฆียะกรรมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 ต้องทำภายใน 1 เดือนหลังจากบริษัททราบเหตุที่ปกปิดข้อความจริง การบอกล้างหลังจากนั้นไม่มีผล
สัญญาประกันอุบัติเหตุระหว่างเดินทางโดยเครื่องบินมีเงื่อนไขให้จ่ายเงินในกรณีตายรวมทั้งบาดเจ็บนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้เงินอันอาศัยความมรณะ เป็นประกันชีวิตตาม มาตรา 889 ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน ไม่มีการจ่ายเงินตามลำดับผู้รับประกันภัยก่อนหลัง ตาม มาตรา 870
โจทก์ขวนขวายออกเงินให้ผู้อื่นเอาประกันชีวิตโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ยังไม่พอเป็นข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันชีวิตของผู้อื่นนั้น ถือเป็นการที่ผู้เอาประกันซึ่งมีส่วนได้เสียเอาประกันชีวิตตนเอง
ย่อยาว
จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 3 เดือนกันยายนพุทธศักราช 2519
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2515 จำเลยรับประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางระหว่างกรุงเทพ – ฮ่องกง ของนางสมหวัง พร้อมพิมพ์ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2515 ถึงวันที่ 16 เดือนเดียวกันเวลา 16 นาฬิกาจำนวนเงินเอาประกัน 1,000,000 บาท มีข้อสัญญาว่าหากนางสมหวังได้รับอุบัติเหตุจากการเดินทางถึงแก่ความตายจำเลยจะจ่ายเงิน 1,000,000บาท ให้กับโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ รายละเอียดตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ 5212991 พร้อมคำแปลท้ายฟ้อง ครั้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2515นางสมหวังเดินทางไปฮ่องกงโดยเครื่องบินของบริษัทคาเธ่ย์ แปซิฟิค จำกัดเครื่องบินตกที่เมืองฟู้โบ๋น ประเทศสาธารณรัฐเวียดนามใต้ในวันเดียวกันเป็นเหตุให้นางสมหวังถึงแก่ความตาย โจทก์บอกกล่าวจำเลยให้ชำระเงิน1,000,000 บาทตามกรมธรรม์ จำเลยเพิกเฉย จำเลยผิดนัดจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2515เป็นต้นไป ขอให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง150,000 บาท รวม 1,150,000 บาท กับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจากต้นเงินดังกล่าวไปจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยทำกรมธรรม์ประกันภัยให้นางสมหวัง พร้อมพิมพ์แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพราะเหตุว่า
ก. ก่อนที่นางสมหวังขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุกับจำเลย นางสมหวังได้เอาประกันภัยอุบัติเหตุในกรณีเดียวกันนี้ไว้กับบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด เป็นเงิน 1,000,000 บาท และกับบริษัทแฮนโอเวอร์ อินชัวรันส์(นิวยอร์ค) จำกัด เป็นเงิน 1,000,000 บาท จำเลยถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นสารสำคัญ เพื่อจะได้พิจารณาว่าสมควรจะรับประกันหรือไม่ แต่นางสมหวังและโจทก์ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริง โดยรับรองข้อความอันเป็นเท็จในกรมธรรม์ว่า ไม่ได้เอาประกันภัยในกรณีเดียวกันนี้ไว้กับบริษัทอื่น เป็นการส่อพิรุธว่านางสมหวังและโจทก์จะมีเจตนาไม่สุจริต จำเลยทราบเรื่องนี้ภายหลังที่นางสมหวังตายแล้ว จึงแจ้งบอกเลิกกรมธรรม์และคืนเบี้ยประกันที่รับไว้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2515
ข. โจทก์เป็นตัวการชักชวนแนะนำนางสมหวังให้เอาประกันภัยจำเลยโดยโจทก์เป็นผู้ให้ข้อความในแบบพิมพ์คำขอประกันภัย เป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันแทนนางสมหวัง และเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ ถือว่านางสมหวังมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน
ค. โจทก์มิได้ทำคำเรียกร้องเป็นหนังสือแจ้งกรณีอุบัติเหตุให้จำเลยทราบภายใน 3 เดือนนับแต่เกิดเหตุ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ข้อ 2
ง. อุบัติเหตุรายนี้เกิดขึ้นในเขตสงครามระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่ต้องรับผิดตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ข้อ 4(ก)
จ. โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดเมื่อพ้นกำหนด 12 เดือนนับแต่วันเกิดอุบัติเหตุ ผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ข้อ 7
ฉ. พนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในข้อหาเจตนาฆ่านางสมหวังบุตรโจทก์รวมทั้งผู้อื่น ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2138/2517 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์มีความผิด หรือมีการฟ้องฎีกาและศาลฎีกาพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะโจทก์เอาประกันภัยให้แก่นางสมหวังโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ช. โจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยมิได้ส่งเรื่องให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาตัดสิน ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ข้อ 6 ก่อน
หากจำเลยจะต้องรับผิดตามกรมธรรม์ โดยที่นางสมหวังเอาประกันภัยไว้กับบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด และบริษัทแฮนโอเวอร์อินชัวรันส์ (นิวยอร์ค) จำกัด ก่อน เป็นเงินรายละ 1,000,000 บาท โจทก์ต้องเรียกร้องให้บริษัททั้งสองรับผิดก่อนถ้ายังไม่พอ จำเลยจึงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ยังขาด จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าดอกเบี้ย เพราะโจทก์ไม่เคยเรียกร้องทวงถามเงินค่าประกันภัย จำเลยมิได้ผิดนัดผิดสัญญา คำแปลกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้องบางตอนยังคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องโดยไม่จำต้องยื่นเรื่องราวให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อน โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) เรื่องฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน มีวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม ทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฯลฯ ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2138/2517ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและศาลทหารกลางพิพากษายืน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาฟังได้ว่ามีผู้นำระเบิดไปวางในเครื่องบินแต่คำพิพากษาก็มิได้กล่าวว่าโจทก์มิใช่ผู้กระทำความผิด ที่โจทก์จัดการขวนขวายให้นางสมหวัง พร้อมพิมพ์ เอาประกันไว้กับบริษัทประกันภัยหลายบริษัทเป็นเงินรวมกันหลายล้านบาทเป็นการผิดปกติธรรมดา โจทก์กระทำการเสมือนหนึ่งรู้ล่วงหน้าว่าจะได้รับประโยชน์จากความตายของนางสมหวัง การที่โจทก์ฟ้องคดีขอรับประโยชน์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนอกจากนั้นนางสมหวังเอาประกันกับบริษัทแฮนโอเวอร์ไว้แล้ว แต่แจ้งว่าไม่เคยเอาประกันกับบริษัทใดมาก่อน เป็นการปกปิดความจริงอันเป็นข้อสารสำคัญ สัญญาประกันภัยจึงเสียเปล่า จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาทแทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อคดีส่วนอาญาศาลพิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง ก็ต้องถือว่าโจทก์มิได้เป็นผู้กระทำผิด จำเลยเองก็มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ที่นางสมหวังประกันชีวิตไว้กับบริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด เป็นการประกันชีวิต ตามปกติธรรมดามิใช่ประกันเฉพาะอุบัติเหตุจากการเดินทาง ส่วนที่นางสมหวังประกันชีวิตไว้กับบริษัทแฮนโอเวอร์ อินชัวรันส์ จำกัด แม้เป็นการประกันเฉพาะอุบัติเหตุจากการเดินทาง แต่ก็อยู่ในระหว่างที่นางสมหวังร้องขอเลื่อนระยะเวลายังไม่ทราบผลว่าบริษัทหลังนี้จะอนุมัติหรือไม่ การประกันกับจำเลยเนื่องจากนายเลิศจิตพนักงานของจำเลยเป็นผู้ชักชวน และแม้นางสมหวังจะได้ทำสัญญาประกันกับบริษัทแฮนโอเวอร์ อินชัวรันส์ จำกัด อีกครั้งหนึ่งในวันเดินทางเพราะบริษัทยังมิได้แจ้งผลการขอเลื่อนระยะเวลาก็หาใช่เป็นเหตุที่ผิดปกติจนถึงกับเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ ที่นางสมหวังมิได้แจ้งจำเลยให้ทราบว่าเอาประกันไว้กับบริษัทอื่นก่อน ไม่เป็นข้อสำคัญที่จะทำให้สัญญาประกันตกเป็นโมฆียะ อย่างไรก็ตามจำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2515 แต่ใช้สิทธิบอกล้างเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2515ล่วงเลยกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 865 วรรคท้าย สัญญาประกันภัยจึงมีผลบังคับอยู่สัญญาประกันภัยในส่วนที่ชดใช้เงิน 1,000,000 บาทเมื่อผู้เอาประกันถึงแก่ความตาย เป็นสัญญาประกันชีวิต จำเลยต้องรับผิดตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องตามกำหนดเวลาในกรมธรรม์แล้ว นางสมหวังมีส่วนได้เสียในชีวิตและร่างกายของตนในเหตุที่เอาประกัน พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยปฏิเสธความผิด คือวันที่ 25 สิงหาคม 2515 เป็นต้นไปจนกว่าจะใช้เงินให้โจทก์เสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยขอแถลงการณ์ด้วยวาจาเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี ให้งดเสีย
ทางพิจารณาจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายสืบก่อนนำสืบว่า เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน2515 โจทก์ นางสมหวัง พร้อมพิมพ์ และเด็กหญิงสนธยามาที่บริษัทจำเลยโจทก์กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์คำขอเอาประกันภัยของนางสมหวังตามเอกสาร ล.1 ซึ่งเป็นการขอประกันภัยประเภทอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางจากวันที่ 14 มิถุนายน 2515 ถึงวันที่ 16 เดือนเดียวกัน เวลา 16 นาฬิกาจำนวนเงินเอาประกัน 1,000,000 บาท นายเลิศจิต วัฒนจตุรพร พนักงานหาประกันของจำเลยถามถึงเรื่องเอาประกันภัยมาก่อนโจทก์ว่าไม่เคย นายมินธาดาสีห์ ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทจำเลยพิจารณาคำขอ ล.1 แล้วอนุมัติ และออกกรมธรรม์ประกันภัยให้นางสมหวังตามเอกสาร ล.2 ในวันเดียวกัน โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน 207 บาท 40 สตางค์ นางสมหวังโดยสารเครื่องบินไปฮ่องกงเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2515 ปรากฏว่าเครื่องบินตกนางสมหวังถึงแก่ความตาย หลังเครื่องบินตกประมาณ 7 วัน นายมินทราบจากหนังสือพิมพ์ว่านางสมหวังประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นหลายบริษัท มีทั้งก่อนและหลังจำเลยรับประกัน วันที่ 4 กรกฎาคม 2515 โจทก์มีหนังสือตามเอกสาร จ.4แจ้งจำเลยเกี่ยวกับอุบัติเหตุเครื่องบินตก จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 25 สิงหาคม2515 ตามเอกสาร ล.1 ถึงโจทก์ บอกล้างกรมธรรม์ประกันภัยอ้างว่านางสมหวังเอาประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นอยู่ก่อนแล้ว โจทก์และนางสมหวังไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งถ้าจำเลยทราบก็จะไม่ทำสัญญาประกันภัย พร้อมทั้งส่งเบี้ยประกัน 207 บาท 40 สตางค์คืน โจทก์มิได้ทำคำเรียกร้องเป็นหนังสือแจ้งจำเลยภายในสามเดือนนับจากวันเกิดเหตุ ผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2 ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 7 จำเลยไม่ต้องรับผิดในข้อเรียกร้องที่ล่วงพ้นระยะเวลา 12 เดือนนับจากวันที่ได้เกิดอุบัติเหตุ นอกจากนั้นโจทก์นำคดีมาสู่ศาลโดยมิได้ส่งเรื่องให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 6
โจทก์นำสืบว่า โจทก์กับนางสมหวังอยู่กินฉันสามีภรรยา นางสมหวังกำหนดเดินทางไปฮ่องกงวันที่ 5 มิถุนายน 2515 ได้เอาประกันภัยอุบัติเหตุไว้กับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด จำนวนเงิน 1,000,000 บาท กำหนดเวลาคุ้มครอง 3 วัน คือวันที่ 3, 4 และ 5 หรือ 5, 6 และ 7 มิถุนายน 2515 แต่ใบปลูกฝีฉีดยาไม่ครบ 7 วัน จึงเปลี่ยนกำหนดเดินทางเป็นวันที่ 14, 15หรือ 16 มิถุนายน 2515 นางสมหวังและโจทก์ติดต่อกับบริษัทแฮนโอเวอร์จำกัด ขอเลื่อนกำหนดเวลาคุ้มครองตามกรมธรรม์มาใน 3 วันหลัง แต่บริษัทยังไม่แจ้งมาว่าอนุมัติหรือไม่ วันที่ 12 มิถุนายน 2515 โจทก์และนางสมหวังไปหานางกรรณิการ์น้องสาวโจทก์ ซึ่งทำงานที่บริษัทจำเลยเพื่อจะถามว่าจะซื้ออะไรที่ฮ่องกงบ้าง โจทก์พบนายเลิศจิตพนักงานบริษัทจำเลย นายเลิศจิตทราบว่านางสมหวังจะเดินทางจึงถามโจทก์เรื่องประกันภัยโจทก์ว่านางสมหวังประกันภัยไว้กับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด แล้วเพ็งขอเลื่อนแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ นายเลิศจิตว่าที่ขอเลื่อนเขาไม่ยอมแน่ และชักชวนให้นางสมหวังประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางกับจำเลย นางสมหวังตกลงประกันในวงเงิน 1,000,000 บาท กำหนดเวลาคุ้มครองวันที่ 14, 15 และ16 มิถุนายน 2515 โจทก์กรอกข้อความในคำขอเอาประกันภัยหมาย ล.1เพราะนางสมหวังเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ โดยนายเลิศจิตเป็นผู้ซักถามในคำขอ ล.1 ไม่มีข้อความว่าผู้ขอประกันเคยประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นหรือไม่นายเลิศจิตก็มิได้สอบถาม นางสมหวังลงชื่อและจ่ายเบี้ยประกัน 200 บาทเศษต่อมาประมาณครึ่งชั่วโมงนายเลิศจิตนำกรมธรรม์ประกันภัยตามสำเนาท้ายฟ้องมาให้ วันที่ 15 มิถุนายน 2515 นางสมหวังเดินทางไปฮ่องกงโดยเครื่องบินของบริษัท ซี.พี.เอ จำกัด เครื่องบินประสบอุบัติเหตุตกที่ประเทศเวียดนามใต้นางสมหวังและผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิต วันที่ 4 กรกฎาคม 2515 โจทก์มีหนังสือแจ้งจำเลยให้ทราบถึงอุบัติเหตุตามเอกสาร จ.4 ต่อมาประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2515 โจทก์ไปพบนายมิน ธาดาสีห์ เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ นายมินให้โจทก์ทำหนังสือไว้แต่ให้รอเรื่องเข้าที่ประชุมก่อนครั้นปลายเดือนเดียวกัน จำเลยมีหนังสือบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของนางสมหวังตามเอกสาร จ.1 และส่งเบี้ยประกันคืนตามเอกสาร จ.2 โจทก์แจ้งนายมินว่าไม่ยอมเลิกสัญญา เพราะเจ้าหน้าที่จำเลยทราบมาก่อนว่านางสมหวังเคยเอาประกันภัยไว้กับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด ทั้งเรื่องประกันภัยมาก่อน จำเลยไม่ถือเป็นข้อสารสำคัญ นอกจากนั้นนายมินทราบเรื่องนางสมหวังประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นหลังจากเครื่องบินตก 7 วัน ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน2515 แต่บอกล้างเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2515 เกินหนึ่งเดือน การบอกล้างไม่มีผล โจทก์เคยถูกฟ้องว่าเป็นผู้วางระเบิดเครื่องบิน แต่ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) และศาลทหารกลางพิพากษาว่าโจทก์มิได้กระทำผิด คดีถึงที่สุดตามคดีหมายเลขแดงที่ 2138/2517 และความจริงโจทก์ก็มิได้กระทำผิดในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาฟังว่าเครื่องบินตกเพราะเกิดระเบิดจากภายในเครื่องบิน มิได้ตกเพราะสงครามหรือการสู้รบ กรณีของโจทก์ไม่ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการชี้ขาด เพราะมิใช่ปัญหาข้อแตกต่างเกี่ยวกับจำนวนเงินเรื่องที่นางสมหวังขอเลื่อนกำหนดเวลาคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยกับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด บริษัทมิได้แจ้งให้ทราบว่าอนุมัติหรือไม่จนถึงวันเดินทาง นางสมหวังจึงประกันภัยอุบัติเหตุเดินทางกับบริษัทแฮนโอเวอร์จำกัด อีกที่ดอนเมือง นางสมหวังเคยขอเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด จำนวนเงิน 1,000,000 บาท ถ้าเกิดเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุจะได้รับเงิน 2,000,000 บาท แต่บริษัทก็ยังมิได้สนองรับประกันในวันที่ประกันภัยกับจำเลย ทั้งมิได้ส่งกรมธรรม์ประกันภัยให้นางสมหวังจนกระทั่งวันเดินทาง
ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ก่อนที่นางสมหวังจะประกันภัยกับจำเลยนางสมหวังประกันอุบัติเหตุเดินทางไว้กับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด กำหนดเวลาประกันภัย 3 วันคือวันที่ 3, 4, 5 หรือ 5, 6, 7 มิถุนายน 2515 แต่นางสมหวังมิได้เดินทางตามวันที่เอาประกันภัย จึงขอเปลี่ยนกำหนดเวลาประกันภัยเป็นวันที่ 14, 15, 16 มิถุนายน 2515 แต่บริษัทแฮนโอเวอร์จำกัด มิได้แจ้งให้ทราบว่าอนุมัติหรือไม่ จนกระทั่งนางสมหวังออกเดินทางในวันที่ 15 มิถุนายน 2515 นอกจากนั้นนางสมหวังขอเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด ก่อนประกันภัยกับจำเลย แต่จนถึงวันประกันภัยกับจำเลย บริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ก็ยังมิได้ตอบสนองรับประกันภัย และมิได้ส่งกรมธรรม์ประกันภัยให้นางสมหวังหรือโจทก์ จนกระทั่งนางสมหวังออกเดินทาง
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ในปัญหาที่ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ขวนขวายให้นางสมหวังเอาประกันภัยอุบัติเหตุในกรณีเดียวกันไว้กับบริษัทอื่นอีกสองบริษัท โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์พฤติการณ์ของโจทก์ไม่สุจริต เห็นว่าการประกันภัยกับจำเลย ทำขึ้นในระหว่างที่นางสมหวังรอฟังผลการรับประกันชีวิตของบริษัทอเมริกันอินเตอร์ แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ซึ่งไม่เป็นที่แน่นอนว่าบริษัทจะรับประกันหรือไม่ และอยู่ในระหว่างรอฟังผลการเปลี่ยนกำหนดเวลาคุ้มครอง หรือกำหนดเวลาประกันภัยกับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่นอนเช่นเดียวกัน ว่าบริษัทจะอนุมัติให้เปลี่ยนกำหนดเวลาประกันภัยหรือไม่ นางสมหวังมีเหตุผลที่จะประกันภัยกับจำเลย เพราะยังไม่มีบริษัทใดยืนยันว่าจะรับประกันภัยนางสมหวังเลย ส่วนที่นางสมหวังประกันภัยกับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด ซ้ำอีกครั้งหนึ่งในวันเดินทาง ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเป็นการประกันภัยไว้สองบริษัทเท่านั้น ส่วนบริษัทอเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัดยังเป็นปัญหา ดังนั้น แม้โจทก์จะมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องในการเอาประกันภัยของนางสมหวัง ก็ยังฟังไม่ถนัดว่าโจทก์ขวนขวายให้นางสมหวังเอาประกันภัยเพื่อหวังรับประโยชน์จากความตายของนายสมหวัง จะถือว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตดังข้อฎีกาของจำเลยหาได้ไม่
จำเลยฎีกาว่า นางสมหวังปกปิดความจริงมิได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นมาก่อน อันเป็นข้อสำคัญในการที่จำเลยจะพิจารณารับประกัน ในเรื่องนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัย นางสมหวังรับรองว่าไม่เคยประกันภัยเกี่ยวกับอุบัติเหตุทำให้ถึงแก่ความตายหรือร่างกายได้รับบาดเจ็บอื่นใดอีก ข้อความจริงเรื่องประกันภัยกับบริษัทอื่นก่อนระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยจึงเป็นข้อสำคัญที่จำเลยอาจบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาคดีมีปัญหาว่าที่นางสมหวังเอาประกันชีวิตกับบริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนลเอสชัวรันส์ จำกัด และบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด เป็นการประกันภัยไว้ก่อนจำเลยหรือไม่ เห็นว่าบริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัดยังมิได้ตอบสนองรับประกันชีวิตนางสมหวังเมื่อนางสมหวังประกันภัยกับจำเลย ถือไม่ได้ว่านางสมหวังประกันชีวิตกับบริษัทอเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด ก่อนจำเลย ส่วนบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด เป็นการประกันการเดินทางในวันที่ 3, 4, 5 หรือ 5, 6, 7 มิถุนายน 2515 หาใช่ในช่วงการเดินทางจากวันที่ 14 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2515 ซึ่งประกันภัยไว้กับจำเลยไม่ ทั้งบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด ก็ยังมิได้แจ้งอนุมัติให้เลื่อนเวลาประกันภัยมาในวันที่ 14, 15, 16 มิถุนายน 2515 ตามที่นางสมหวังร้องขอ ถือไม่ได้ว่านางสมหวังประกันภัยอุบัติเหตุการเดินทางครั้งเดียวกันไว้กับบริษัทแฮนโอเวอร์ จำกัด ก่อนจำเลยเช่นกัน ที่นางสมหวังรับรองว่าไม่ได้ประกันภัยเกี่ยวกับอุบัติเหตุกรณีเดียวกันกับบริษัทอื่นอีก จึงหาใช่เป็นการปกปิดความจริงไม่ อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้จำเลยจะต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคท้าย นายมิน ธาดาสีห์ ผู้มีอำนาจรับประกันภัยของจำเลย ทราบว่านางสมหวังประกันภัยไว้กับบริษัทอื่นหลังจากเครื่องบินตกประมาณ 7 วัน คือประมาณวันที่ 22 มิถุนายน 2515 แต่จำเลยบอกล้างเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2515 อันเป็นเวลาร่วมสองเดือนเศษนับแต่วันที่จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้าง การบอกล้างของจำเลยไม่มีผลตามกฎหมาย สัญญาประกันภัยจึงยังมีผลบังคับอยู่
ปัญหาที่ว่า สัญญาประกันภัยรายนี้เป็นสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงและจะต้องบังคับเอากับผู้รับประกันภัยรายแรกก่อนหรือไม่ ตามกรมธรรม์ประกันภัยของจำเลยมีเงื่อนไขจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันภัยทั้งในกรณีถึงแก่ความตายรวมทั้งบาดเจ็บ ในกรณีผู้เอาประกันภัยตายจะจ่ายให้ 1,000,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้เงินอันอาศัยความมรณะของนางสมหวังผู้เอาประกันภัย ย่อมเป็นสัญญาประกันชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 889 จำเลยต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนอันจะพึงใช้ตามมาตรา 890 คือ 1,000,000 บาท จะจ่ายตามจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงโดยเกี่ยงให้บังคับเอาแก่ผู้รับประกันภัยรายแรกก่อนดังข้อฎีกาของจำเลยหาได้ไม่
จำเลยฎีกาว่า โจทก์หมดสิทธิเรียกร้องเงินตามกรมธรรม์ เพราะมิได้ทำคำเรียกร้องเป็นหนังสือภายใน 3 เดือนนับแต่เกิดอุบัติเหตุ คดีได้ความว่าโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2515 ตามเอกสาร จ.4 แจ้งให้จำเลยทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2515 และว่าถ้าได้หลักฐานการเสียชีวิตของผู้เอาประกัน จะมาดำเนินการเรียกร้องตามสิทธิต่อไป โจทก์เบิกความว่าประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2515 โจทก์ไปพบนายมิน ธาดาสีห์เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยนายมินให้โจทก์ทำหนังสือของเรียกร้องเงินไว้ บอกว่ารอเรื่องเข้าที่ประชุมก่อนแล้วจะแจ้งผลให้ทราบนายมินเบิกความรับว่าโจทก์เคยเรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินตามกรมธรรม์ แต่จำเลยไม่จ่ายเพราะบอกเลิกสัญญาแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือตามกำหนดเงื่อนไขในกรมธรรม์แล้ว หาใช่หมดสิทธิเรียกร้องไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า นางสมหวังไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยเพราะโจทก์ขวนขวายให้นางสมหวังเอาประกันภัย โดยโจทก์เป็นผู้ออกเบี้ยประกันและเป็นผู้รับประโยชน์ สัญญาประกันภัยไม่ผูกพันคู่สัญญานั้น เห็นว่านางสมหวังเอาประกันชีวิตและร่างกายของตนเอง ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ส่วนเรื่องที่โจทก์ขวนขวายจัดให้นางสมหวังเอาประกันภัย อันหมายถึงว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันชีวิตนางสมหวังนั้น ข้อเท็จจริงหาได้เป็นดังข้อฎีกาของจำเลยไม่ ดังที่วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 10,000 บาทแทนโจทก์