คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1847/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้จำนองที่ดินเป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท เงินจำนวนนี้อาจมีเหลืออยู่ อันเป็นเหตุผลพิเศษที่โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเชื่อว่าจำเลยมีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับมากกว่าที่ตนทราบ จึงมีเหตุให้ศาลทำการไต่สวนและออกหมายเรียกจำเลยมาให้ถ้อยคำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 277
โจทก์ทราบเกี่ยวกับทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องอยู่แล้วเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องสืบเสาะหาราคาเองว่าทรัพย์ที่จำนองไว้ราคาเท่าใดและจำนองไว้เท่าใด ทั้งคำร้องของโจทก์ก็ไม่ได้เจาะจงระบุชื่อนามสกุลบุคคลที่ขอให้ศาลหมายเรียกมา เพื่อให้ศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลว่าบุคคลดังกล่าวจะสามารถให้ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ โจทก์จะขอให้หมายเรียกเจ้าหนี้บุริมสิทธิของจำเลย ผู้รับโอนและเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังมาให้ถ้อยคำไม่ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ระหว่างการบังคับคดีโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๗๗ โดยอ้างว่าจำเลยได้ขาย ยกให้ และจำนองทรัพย์สินไว้ตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องและจำเลยเป็นเจ้าของบริษัท ๒ บริษัท โจทก์เชื่อว่าจำเลยมีทรัพย์สินที่จะถูกบังคับมากกว่าที่โจทก์ทราบ ขอให้ไต่สวนและออกหมายเรียกจำเลย เจ้าหนี้บุริมสิทธิของจำเลย ผู้รับโอนเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังมาทำการไต่สวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยได้จำนองที่ดินตามบัญชีทรัพย์อันดับ ๑ ท้ายคำร้องเป็นเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เงินจำนวนดังกล่าวอาจยังมีเหลืออยู่ อันเป็นเหตุผลพิเศษที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเชื่อว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับมากกว่าที่ตนทราบซึ่งจำเลยเท่านั้นเป็นผู้ที่ทราบว่าตนยังมีทรัพย์สินอยู่อีกหรือไม่ และอยู่ที่ใดบ้าง จึงมีเหตุผลให้ศาลทำการไต่สวนและออกหมายเรียกจำเลยมาให้ถ้อยคำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๗ ส่วนที่โจทก์ขอให้หมายเรียกเจ้าหนี้บุริมสิทธิของจำเลยที่ปรากฏตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องตลอดจนผู้รับโอนและเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังมาให้ถ้อยคำนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ทราบเกี่ยวกับทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องสืบเสาะหาราคาเองว่า ทรัพย์ที่จำนองไว้ราคาเท่าใดและจำนองไว้เท่าใด ไม่ใช่หน้าที่ศาลจะต้องทำให้ทั้งคำร้องก็มิได้เจาะจงระบุชื่อ นามสกุล บุคคลที่ขอให้ศาลหมายเรียกมา จึงไม่ทราบได้ว่าบุคคลที่ขอให้หมายเรียกนั้นเป็นใคร และเกี่ยวข้องกับจำเลยอย่างใดเพื่อศาลจะได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลว่าบุคคลดังกล่าวจะสามารถให้ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นว่า โจทก์จะขอให้หมายเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำก็ได้โดยไม่มีขอบเขต ซึ่งจะไม่มีการสิ้นสุดยุติได้เป็นการก่อความเดือดร้อนแก่บุคคลอื่นโดยใช่เหตุ ไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๗๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกจำเลยมาทำการไต่สวนตามคำร้องของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๗ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share