คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีอาชีพขับรถยนต์สามล้อรับจ้าง บ. กับพวกจะว่าจ้างรถของจำเลยให้ไปส่ง แต่ได้เกิดโต้เถียง กับจำเลย บ. ได้ตบท้ายทอยจำเลยทำให้จำเลยโกรธ จำเลยขับรถยนต์สามล้อออกไปห่าง40 เมตรแล้ว แต่กลับไปหยุดรถแล้วลงจากรถเอาอาวุธปืนสั้นเดิน เข้าไปหา บ. กับพวกแล้วยิง บ. 2 นัด จากนั้นจำเลยวิ่งหนีไปที่รถยนต์สามล้อของจำเลยผู้ตายและ บ. กับพวกวิ่งตามไปโดยไม่มีอาวุธ จำเลยยิงปืนมาอีก 2 นัด ถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายเช่นนี้เหตุที่จำเลยถูก บ. ตบ ท้ายทอยและการถกเถียง ได้สิ้นสุดกันไปแล้ว จำเลยก็ได้ขับรถออกไปห่างไกลจนไม่มีภยันตรายแล้ว การที่จำเลยย้อน กลับมาโดยมีอาวุธปืนติดมือมาด้วยแสดงให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจมาทำร้าย บ. กับพวกเนื่องจากมีสาเหตุกันมาก่อน การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงเป็นการฆ่าผู้ตายโดยเจตนา จำเลยเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นเองจะอ้างว่ากระทำไปโดยเป็นการป้องกันหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีและพกพาอาวุธปืนและกระสุนปืนโดยมิได้รับอนุญาตและได้ใช้อาวุธปืนยิงนายประยูร มณีโชติหลายนัดโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นายประยูร ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯลฯมาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือนปรับ 2,000 บาท ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือนและปรับ 1,000 บาทรวมจำคุก 1 ปี 2 เดือนและปรับ 3,000 บาท จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและกำลังเป็นนักศึกษา เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพบเมืองดี โทษจำคุกให้รอไว้ 1 ปี ส่วนข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาให้ยกฟ้อง ปืนของกลางให้คืนเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 18 ปี ปืนของกลางริบและไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยและไม่ลงโทษปรับ รวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลย 19 ปี 2 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยยิงนายประยูรผู้ตายนั้นโจทก์มีนายอภิวัฒน์ ดวงหิรัญ และนางพรทิวา บุญอำพลเป็นประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุเมื่อพยานทั้งสองขึ้นรถยนต์สามล้อที่จำเลยเป็นคนขับแล้ว แต่นายเบิ้มยังไม่ขึ้นรถเพราะรอคนไปเอาบัตรประจำตัวพลทหารนิทัศน์จำเลยก็ไม่พอใจและขับเคลื่อนรถไปบ้าง ทำให้นายเบิ้มไม่พอใจและต่อว่าจำเลย จึงได้ถกเถียงกันขึ้น นายเบิ้มบอกให้พยานทั้งสองลงจากรถ และนายเบิ้มได้ตบท้ายทอยจำเลยทำให้จำเลยโกรธ จำเลยขับรถยนต์สามล้อออกไปห่าง 40 เมตรแล้ว แต่กลับไปหยุดรถแล้วลงจากรถเอาอาวุธปืนสั้นของกลางถือไขว้หลังซ่อนมาข้างหลัง จำเลยเดินเข้าไปหานายเบิ้มกับพวกแล้วจำเลยยิงนายเบิ้ม 2 นัด ขณะที่จำเลยอยู่ห่างจากนายเบิ้มนายประมาณ 10 เมตร แล้วจำเลยวิ่งหนีไปที่รถยนต์สามล้อของจำเลยนายเบิ้มวิ่งตามจำเลยไป พยานทั้งสองก็วิ่งตามนายเบิ้มไปด้วย ตอนนั้นนายอภิวัฒน์เบิกความว่า พอดีมีนายประยูรผู้ตายเดินออกมาจากซอยมัสยิสซึ่งอยู่ข้างหน้านายเบิ้ม ผู้ตายก็วิ่งไปข้างหน้า นายเบิ้มวิ่งตามหลัง จำเลยยิงปืนมาอีก 2 นัดกระสุนปืนถูกผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยวิ่งขึ้นรถยนต์สองแถวรับจ้างหลบหนีไป เห็นว่านายอภิวัฒน์และนางพรทิพาประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เป็นผู้โดยสารที่จะขึ้นรถยนต์สามล้อรับจ้างที่จำเลยขับเพื่อจะไปสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่พยานทั้งสองเบิกความตรงไปตรงมาไม่มีข้อพิรุธว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยแต่อย่างใด มีน้ำหนักเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงตามที่รู้เห็น นายอภิวัฒน์และนางพรทิพาต่างก็ยืนยันว่าผู้ตายนายเบิ้ม และพยานทั้งสองไม่มีอาวุธใด ๆ เห็นว่าหากผู้ตายมีระเบิดมือและจะขว้างเข้าใส่จำเลยดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ก็น่าที่จะมีระเบิดมือตกอยู่ในที่เกิดเหตุและพนักงานสอบสวนซึ่งไปดูที่เกิดเหตุในระยะเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งหลังเกิดเหตุ ก็น่าที่จะพบระเบิดมือและบันทึกไว้ในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 เมื่อไม่มีบันทึกไว้ก็แสดงว่าไม่มีระเบิดมือตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ข้ออ้างของจำเลยจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักรับฟังไม่ได้ เชื่อว่าผู้ตายวิ่งตามจำเลยไปโดยไม่มีอาวุธติดตัว เหตุที่ผู้ตาย นายเบิ้มนายอภิวัฒน์ และนางพรทิพาวิ่งไล่ติดตามจำเลยก็เนื่องจากจำเลยเป็นผู้กลับมาก่อเหตุขึ้นอีก เพราะเหตุที่จำเลยถูกนายเบิ้มตบท้ายทอยและการถกเถียงได้สิ้นสุดกันไปแล้วโดยจำเลยได้ขับรถออกไปจากนายเบิ้มและนายเบิ้มกับนายอภิวัฒน์และนางพรทิพาตกลงใจไม่ไปรถจำเลยและนายเบิ้มไม่ไปสถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ ส่วนจำเลยก็ขับรถออกไปห่างไกลจนไม่มีภยันตรายแล้วและจอดรถที่หน้าธนาคารกสิกรไทย จำกัดสาขาคลองสาน ห่างจากนายเบิ้มกับพวกประมาณ 40 เมตร แล้วจำเลยย้อนกลับมาก่อเหตุอีกโดยมีอาวุธปืนสั้นติดมือมาด้วยเมื่อจำเลยยิงปืนเข้าใส่กลุ่มนายเบิ้มกับพวก 2 นัด จึงเป็นเหตุให้กลุ่มนายเบิ้มกับพวกพากันวิ่งไล่ติดตามจำเลยไป ซึ่งเป็นเวลากะทันหันย่อมไม่มีเวลาหาอาวุธติดมือได้ในขณะนั้น เชื่อว่านายเบิ้มกับพวกไม่มีอาวุธตามที่ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความ ดังนี้ข้อที่จำเลยอ้างว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อเป็นการป้องกันตัวไม่ให้ผู้ตายกับพวกเข้ามาทำร้ายนั้นฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยย้อนกลับมาโดยมีอาวุธปืนติดมือมาด้วยนั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจมำทำร้ายนายเบิ้มกับพวกเนื่องจากมีสาเหตุกันมาก่อน เช่นนี้การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงเป็นการฆ่าผู้ตายโดยเจตนาจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นเองจะอ้างว่ากระทำไปโดยเป็นการป้องกันตัวหาได้ไม่ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ริบซองปืนและปลอกกระสุนปืนของกลางเสียด้วย”.

Share