คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุเกิดในเวลากลางคืนแม้บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าแต่ก็อยู่คนละฟากถนนห่างจากจุดที่ว.จอดรถจักรยานยนต์ถึง13เมตรส่วนจุดที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายและปลดทรัพย์อยู่ลึกเข้าไปในบริเวณป่าข้างทางไม่มีแสงสว่างส่องถึงคนร้ายเข้ามาล๊อกคอผู้เสียหายและว. ทางด้านหลังผู้เสียหายรับว่าขณะเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายส่วนว. ตกใจไม่ทันได้ฟังว่าคนร้ายพูดอะไรกับผู้เสียหายประกอบกับคนร้ายคนหนึ่งมีผ้าโพกศีรษะโอกาสที่ผู้เสียหายและว.จะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจึงมีน้อยมากทั้งพนักงานสอบสวนให้ผู้เสียหายและว. ดูตัวจำเลยก่อนการชี้ตัวดังนั้นการชี้ตัวของผู้เสียหายและว. จึงมีข้อพิรุธเมื่อไม่มีพยานโจทก์ปากใดรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายอีกและปรากฏว่าจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาลพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 295, 340, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 16,250 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 83 จำคุกคนละ 12 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 83 จำคุก 18 ปีและผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับ 100 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 18 ปี และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 16,250 บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสามว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานสองปาก คือ ผู้เสียหายและนายวิทยาที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายและนายวิทยาเบิกความว่า เมื่อนายวิทยาจอดรถจักรยานยนต์แล้ว ผู้เสียหายลงจากรถไปปัสสาวะที่ข้างทาง ขณะผู้เสียหายกำลังนั่งปัสสาวะมีคนร้ายเข้ามาล็อกคอและใช้มีดปลายแหลมจี้ที่คอผู้เสียหาย คนร้ายอีก 2 คน ออกจากป่าเดินเข้าไปหานายวิทยาซึ่งนั่งคอยที่รถจักรยานยนต์แล้วคนร้ายเข้าไปล็อกคอนายวิทยาใช้อาวุธปืนตีและชกที่ใบหน้าของนายวิทยาหลายครั้ง นายวิทยาสะบัดหลุดแล้ววิ่งหนี หลังจากนั้นคนร้ายลากผู้เสียหายเข้าไปในป่าแล้วรุมตีทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกับปลดทรัพย์สร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองและแหวนทองคำจากผู้เสียหาย เห็นว่าเหตุเกิดในเวลากลางคืน แม้ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 จะปรากฏว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าก็ตามแต่ก็อยู่คนละฟากถนนห่างจากจุดที่นายวิทยาจอดรถจักรยานยนต์ถึง 13 เมตร ส่วนจุดที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายและปลดทรัพย์ก็อยู่ลึกเข้าไปในบริเวณป่าข้างทาง ไม่มีแสงสว่างส่องไปถึงคนร้ายเข้ามาล็อกคอผู้เสียหายและนายวิทยาทางด้านหลังและมีผ้าโพกศีรษะด้วย ผู้เสียหายรับว่า ขณะเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย ส่วนนายวิทยาก็รับว่าขณะนั้นตกใจไม่ทันได้ฟังว่าคนร้ายพูดอะไรกับผู้เสียหายประกอบกับคนร้ายคนหนึ่งก็มีผ้าโพกศีรษะโอกาสที่ผู้เสียหายและนายวิทยาจะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจึงมีน้อยมาก ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า จำจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ และนายวิทยาจำจำเลยที่ 3ได้ จึงไม่น่าเชื่อ ถ้าผู้เสียหายและนายวิทยาจะชี้ตัวจำเลยทั้งสามได้ถูกต้อง แต่เมื่อพันตำรวจโทเดชา หลักเพ็ชร พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ก่อนที่จะให้ผู้เสียหายชี้ตัว พยานให้ผู้เสียหายและนายวิทยาดูตัวจำเลยก่อนแล้ว หลังจากนั้นจึงให้ชี้ตัวดังนั้น การชี้ตัวของผู้เสียหายและนายวิทยาจึงมีข้อพิรุธพยานหลักฐานโจทก์นอกจากที่ได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วก็ไม่มีพยานโจทก์ปากใดรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายกระทำความผิด จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล พยานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share