คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำของจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญารับรองการยืมจะเป็นเอกสารสิทธิหรือไม่ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266นั้น มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นปัญหาที่ยุติแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 ออกใช้บังคับ ซึ่งแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิดและเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จึงต้องลงโทษจำคุกจำเลยที่1 เพียง 50 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งถูกจำคุก 72 ปี6 เดือนนั้น แม้จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาก็ตาม แต่การใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ได้เพียง 50 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงาน ตำแหน่งสมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา มีหน้าที่ตามปะมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีตามกฎหมายและพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งผู้บังคับหมู่สถานีตำรวจภูธรตำบลสระพระ จังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันปลอมสัญญารับรองการยืมเงินของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาอันเป็นเอกสารสิทธิและเอกสารราชการขึ้นทั้งฉบับรวม 29 ฉบับและร่วมกันใช้เอกสารปลอมดังกล่าวเพื่อขอยืมเงินทดรองราชการทั้งนี้เพื่อให้จ่าสิบตำรวจ ส. เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่อง รองผู้กำกับการและผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา กรมตำรวจ หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลดังกล่าว และจำเลยที่ 1 เป็นตัวการจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ให้การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทุจริตโดยจำเลยที่ 1 ได้เอาเงินของทางราชการกรมตำรวจ ซึ่งจำเลยที่ 1มีหน้าที่รักษาจ่ายให้แก่จำเลยที่ 2 รับไปตามสัญญารับรองการยืมเงินปลอมทั้ง 29 ฉบับเพื่อนำเอาไปแบ่งกัน อันเป็นการเบียดบังยักยอกเงินของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดราชสีมาไปเป็นของจำเลยทั้งสอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157, 264, 265, 266, 268, 83, 86, 91 ให้ร่วมกันคืนเงินที่เบียดบังยักยอก

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268รวม 29 กระทง ลงโทษทุกกระทงตามมาตรา 268 วรรคสอง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 29 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 19 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นยก

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยทั้งสองผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 264, 265, 268, 91 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยทั้งสองแต่ละกรรมเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 เรียงกระทงรวม 29 กระทง จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 5 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 145 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้สนับสนุนกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมเป็นโทษ 96 ปี 8 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 72 ปี 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสองใช้เงินแก่กรมตำรวจ

โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเพื่อยืมเงินทดรองใช้จ่ายในการปฏิบัติราชการโดยมิได้มีคำสั่งของผู้บังคับบัญชาให้มีการปฏิบัติราชการจริง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์สินซึ่งตนมีหน้าที่จัดการหรือรักษาเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุน เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว การกระทำนั้นก็จะไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 266 ปรากฏว่าปัญหาว่าสัญญารับรองการยืมจะเป็นเอกสารสิทธิหรือไม่มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาที่ยุติแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 เรียงกระทง กระทงละ 5 ปี รวม 145 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 ออกใช้บังคับซึ่งแตกต่างกับกฎหมายในขณะกระทำผิดและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ซึ่งจะลงโทษจำคุกได้ไม่เกิน 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) จึงต้องลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เพียง 50 ปีส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งถูกจำคุก 72 ปี 6 เดือนนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาก็ตาม แต่การใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยนี้เป็นเหตุให้ลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย คือจะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ได้เพียง 50 ปี

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 50 ปี

Share