คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2195/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อที่ดินของโจทก์ แต่ยังมิได้ชำระราคาที่ดินทั้งหมดในวันจดทะเบียนโอนที่ดินที่ซื้อขายกัน โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนราคาที่ดินส่วนที่ยังค้างชำระเป็นหนี้บุริมสิทธิเหนือที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยยังค้างชำระ อันทำให้โจทก์มีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เหนือที่ดินนั้น เพื่อเอาชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ซึ่งหากได้ไม่พอชำระหนี้ โจทก์ก็มีสิทธิจะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนสิ้นเชิงได้ หามีบทบัญญัติอื่นใดที่จะตัดทอนอำนาจของโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ไม่ แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 289 จะได้บัญญัติว่า “ว่าถึงผลแห่งบุริมสิทธินอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 281 ถึง 288 นี้แล้วท่านให้นำบทบัญญัติทั้งหลายแห่งลักษณะจำนองมาใช้บังคับด้วยตามแต่กรณี” ก็ตาม ก็มีความหมายแต่เพียงว่าให้นำมาใช้เท่าที่ไม่ขัดกับต่อบทในลักษณะบุริมสิทธิ ซึ่งให้สิทธิแก่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะเอาชำระหนี้จากอสังหาริมทรัพย์นั้นก่อนเจ้าหนี้อื่นเท่านั้น เหตุดังกล่าวจึงนำบทบัญญัติมาตรา 733 มาใช้บังคับแก่คดีไม่ได้ ดังนั้น หากยึดที่ดินที่จดทะเบียนบุริมสิทธิขายทอดตลาดยังไม่พอชำระหนี้ มาตรา 273, 276 ห้ามเพียงมิให้โจทก์บังคับบุริมสิทธิเอาแก่ทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากที่ดินที่จดทะเบียนบุริมสิทธิตามฟ้องเท่านั้นแต่มิได้ห้ามโจทก์ในอันที่จะยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยมาชำระหนี้จนกว่าจะครบอย่างเจ้าหนี้สามัญ ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นมาชำระหนี้จนกว่าจะครบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2523)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินโฉนดที่ ๘๕๔๓ และ ๘๕๔๔ จากกองมรดกของพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ยังค้างชำระราคาอยู่ ๔,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยจดทะเบียนเป็นหนี้บุริมสิทธิเหนือที่ดิน ๒ แปลงนี้ไว้ เป็นหลักฐานว่าจะชำระให้เสร็จภายใน ๑๘ เดือน เมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยขอผลัดการชำระไปถึงวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๑๖ โดยยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ต่อปี และขอชำระดอกเบี้ย ๒ งวด งวดที่ ๑ ภายในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ งวดที่ ๒ ภายในวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๑๖ หากผิดนัดงวดใดยอมให้โจทก์เรียกเงินต้นทั้งหมดได้ทันที พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เลย โจทก์ทวงถามก็รับสภาพหนี้ แต่ขอถัดเรื่อยมา จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๖๐ เดือน เป็นเงิน ๓,๑๒๒,๒๕๐ บาท รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๗,๒๒๖,๒๕๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงิน ๔,๑๐๐,๐๐๐ บาท ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เสร็จให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ใช้ให้ยึดที่ดิน ๒ แปลงที่จดทะเบียนบุริมสิทธิไว้ขายทอดตลาดถ้าได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระให้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การว่า ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ ๔๕๔๓ และ ๔๕๔๔ จากกองมรดกของโจทก์และจดทะเบียนบุริมสิทธิในที่ดิน ๒ แปลงดังกล่าวเป็นเงิน ๔,๑๐๐,๐๐๐ บาทจริง โจทก์ให้คำมั่นแก่จำเลยว่าจะไม่เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้จนกว่าจำเลยจะขายที่ดิน ๒ แปลงตามฟ้องก่อนโดยให้เวลาถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๕ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วยังให้จำเลยใช้ดอกบี้ยนับแต่วันฟ้องอีกเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยและโจทก์ไม่มีอำนาจขอให้ยึดทรัพย์สินอื่น ของจำเลยขายทอดตลาดเพราะไม่ปรากฏทางทะเบียนว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นๆ ขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้แต่อย่างใดขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์
คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี หรือร้อยละ ๗ ต่อปี และประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นอีกหรือไม่เป็นข้อกฎหมาย
จำเลยแถลงขอสืบพยานในข้อต่อสู้ที่ว่า โจทก์ได้ให้คำมั่นด้วยวาจาว่าจะขยายเวลาบังคับคดีนี้ไปจนถึง พ.ศ. ๒๕๒๕ โจทก์แถลงว่าโจทก์ไม่เคยให้คำมั่นว่าจะขยายเวลาให้จำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย พิพากษาให้จำเลยใช้หนี้ ๗,๑๗๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จดทะเบียนบุริมสิทธิขายทอดตลาดใช้หนี้ หากยังไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้จนกว่าจะครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นด้วยกับศาลล่างในประเด็นอื่นและวินิจฉัยในประเด็นเรื่องบุริมสิทธิว่าที่จำเลยฎีกาว่า หากขายที่ดินที่จดบุริมสิทธิไว้ได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยต่อไป เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๓ ประกอบด้วยมาตรา ๒๘๙ นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า บุริมสิทธิในคดีนี้เกิดจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจำเลยซื้อที่ดินของโจทก์ แต่ยังมิได้ชำระราคาค่าที่ดินให้หมด คงค้างชำระส่วนที่ ๓ และส่วนที่ ๔ ซึ่งในวันจดทะเบียนโอนที่ดินที่ตกลงซื้อขายกันได้จดทะเบียนราคาที่ดินส่วนที่ ๓ เป็นเงิน ๔,๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่ยังค้างชำระเป็นหนี้บุริมสิทธิเหนือที่ดินที่ตกลงซื้อขายกัน เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ค่าที่ดินที่จำเลยยังค้างชำระอันทำให้โจทก์มีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎกมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๖ ใช้สำหรับเอาราคาอสังหาริมทรัพย์และดอกเบี้ยในราคานั้นและมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้นซึ่งได้บอกลงทะเบียนไว้ด้วยว่า ราคาหรือดอกเบี้ยในนั้นยังมิได้ชำระบุริมสิทธินั้นก็คงให้ผลต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๘ เหตุดังกล่าวโจทก์จึงย่อมมีบุริมสิทธิเหนือที่ดินสองแปลงตามที่โจทก์ฟ้องเพื่อเอาชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ซึ่งหากได้ไม่พอชำระหนี้โจทก์ก็มีสิทธิจะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนสิ้นเชิง หามีบทบัญญัติอื่นใดที่จะตัดทอนอำนาจของโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ไม่ แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๙ จะได้บัญญัติว่า “ว่าถึงผลแห่งบุริมสิทธินอกจากที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๑ ถึง ๒๘๘ นี้แล้ว ท่านให้นำบทบัญญัติทั้งหลายแห่งลักษณะจำนองมาใช้บังคับด้วยตามแต่กรณี” ก็ตาม ก็มีความหมายแต่เพียงว่าให้นำมาใช้เท่าที่ไม่ขัดกับตัวบทในลักษณะบุริมสิทธิ ซึ่งให้สิทธิแก่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะเอาชำระหนี้จากอสังหาริมทรัพย์นั้นก่อนเจ้าหนี้อื่นเท่านั้น เหตุดังกล่าวจึงนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๓ มาใช้บังคับแก่คดีไม่ได้ดั่งที่จำเลยฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าเมื่อจำเลยต้องใช้หนี้ค่าซื้อที่ดินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษา ซึ่งหากยึดที่ดินที่จดทะเบียนบุริมสิทธิขายทอดตลาดยังไม่พอชำระหนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๗๓, ๒๗๖ ห้ามเพียงมิให้โจทก์บังคับบุริมสิทธิเอาแก่ทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากที่ดินที่จดทะเบียนบุริมสิทธิตามฟ้องเท่านั้น แต่มิได้ห้ามโจทก์ในอันที่จะยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยมาชำระหนี้จนกว่าจะครบอย่างเจ้าหนี้สามัญจึงต้องด้วยความเห็นของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้ว
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๕,๐๐๐ บาทแทนโจทก์

Share