คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในขณะวิ่งไล่ตามจับกุมผู้เสียหายและผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปในความมือพ้นจากการจับกุมของจำเลยในระยะห่างกันประมาณ 5 เมตร โดยเล็งปลายกระบอกปืนไปทางผู้เสียหาย กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณแขนขวาระดับเดียวกับอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ ผู้เสียหายจึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลยจำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับกันฟังเป็นยุติได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยถืออาวุธปืนเอ็ม 16 วิ่งไล่ตามผู้เสียหายไป ระหว่างนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดผู้เสียหายได้รับบาดแผลที่บริเวณต้นแขนด้านขวาเป็นรอยทะลุ 2 แผล ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า จำเลยถืออาวุธปืนเอ็ม16 วิ่งตามพยาน พยานวิ่งหนีจำเลยไปทางหน้าวัดได้ยินเสียงจำเลยกระชากรังปืน พยานหันไปดูจำเลยแต่บริเวณนั้นไม่มีแสงไฟจึงมองเห็นไม่ชัด พยานวิ่งหนีจำเลยต่อไปอีกประมาณ 3 นาที พยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ขณะนั้นพอดีพยานหกล้มจึงไม่ได้หันกลับมาดูจำเลยแต่เข้าใจว่าจำเลยเป็นผู้ยิง จึงรีบลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปทางหน้าวัดผ่านไร่และนาของชาวบ้านบริเวณนั้น จนกระทั่งไปถึงหน้าโรงพยาบาลมีแสงไฟฟ้าจากหลอดไฟฟ้า พยานจึงเห็นว่าที่แขนขวาพยานบริเวณข้อศอกมีโลหิตไหล บาดแผลเป็นรอยทะลุ 2 รู พยานเข้าใจว่าถูกกระสุนปืน พยานจึงไปที่บ้านของลุงชื่อนายแสวง นายแสวงและนายสินทอง ทวีทรัพย์ พี่ชายพยานพาพยานไปทำบาดแผลที่โรงพยาบาลและแจ้งความที่สถานีตำรวจ วันรุ่งขึ้นพยานร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามคำร้องทุกข์เอกสารหมาย จ.1 ร้อยตำรวจโทถนอม กิ่งแฝงพยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความว่า พยานเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจพยานรับแจ้งความแล้วไปดูที่เกิดเหตุผ่านบ้านจำเลยเห็นจำเลยยืนอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน ผู้เสียหายจึงชี้ให้จับกุมจำเลยได้นำเอาอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุนปืน 16 นัดและซองกระสุนปืน 1 ซอง มามอบให้ หลังจากนั้นนำจำเลยไปดูที่เกิดเหตุและตรวจสถานที่เกิดเหตุ ในบริเวณที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน 1 ปลอก ได้ทำบัญชีของกลางไว้ ตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ. 9 ชั้นสอบสวนจำเลยรับว่าขณะเกิดเหตุอาวุธปืนของจำเลยลั่น 1 นัด ได้บันทึกคำให้การของจำเลย ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ. 7 ผู้เสียหายได้ให้การต่อพยานในวันเกิดเหตุยืนยันว่าจำเลยได้เล็งอาวุธปืนไปยังผู้เสียหายก่อนที่จะได้ยินเสียงปืน พยานจึงบันทึกคำให้การของผู้เสียหายไว้ ตามบันทึกทำให้การของผู้ร้องทุกข์ เอกสารหมาย จ. 8 พยานได้ส่งอาวุธปืนกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุไปที่กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ เพื่อตรวจสอบว่าปลอกกระสุนปืนที่เก็บได้ใช้ยิงจากอาวุธปืนของจำเลยหรือไม่ ผลการตรวจปรากฏว่าปลอกกระสุนปืนดังกล่าวใช้ยิงจากอาวุธปืนของจำเลยตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ. 11 บาดแผลของผู้เสียหายมี 2 บาดแผล ขนาดเท่ากันมีลักษณะกลม อาจเกิดจากกระสุนปืนไปกระทบวัตถุอื่นก่อนที่จะไปถูกผู้เสียหาย ส่วนพยานจำเลยมีตัวจำเลยอ้างตนเองกับนายบุญมีป้อมอุ่นเรือน เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า อาวุธปืนของจำเลยได้ขึ้นลำปืนไว้ก่อน ขณะวิ่งไล่ตามวัยรุ่นที่หลบหนีนายบุญมีขึ้นลำปืนเพื่อขู่ จำเลยวิ่งอยู่ข้างหน้านายบุญมีจำเลยสะดุดก้อนหินหกล้มอาวุธปืนของจำเลยลั่นขึ้น 1 นัด ภายหลังทราบว่าวัยรุ่นที่วิ่งหลบหนีคือ ผู้เสียหาย นายวิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ พยานจำเลยปากหนึ่งเบิกความว่า พยานได้เขียนตำราวิชานิติเวชศาสตร์เอกสารหมาย ป.ล. 1 โดยอาศัยหลักวิชาการและประสบการณ์พยานเคยพบบาดแผลที่เกิดจากการยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 บาดแผลทางเข้าของกระสุนปืนจะเล็กกว่าทางออกมากตามภาพถ่ายในหนังสือนิติเวชศาสตร์ หน้า 131 เอกสารหมาย ป.ล. 1 แต่ถ้าหากความเร็วของกระสุนต่ำมากแล้วบาดแผลทางเข้าและทางออกอาจมีขนาดเท่ากันศาลฎีกาเห็นว่า ผู้เสียหายไปยืนดูผู้เข้าร่วมชุลมุนต่อสู้กันเมื่อจำเลยถืออาวุธปืนเอ็ม 16 ตรงเข้ามาที่ผู้เสียหายผู้เสียหายก็วิ่งหนีขณะเกิดเหตุก็อยู่ในระหว่างจำเลยถืออาวุธปืนเอ็ม 16 วิ่งไล่ตามจับกุมผู้เสียหาย เนื่องมาจากผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกับนายสรศักดิ์แซ่ลี้ หลานของจำเลยและเข้าชุลมุนต่อสู้กัน ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ. 7 ระหว่างวิ่งหนีผู้เสียหายได้ยินเสียงจำเลยกระชากรังปืน ผู้เสียหายล้มลงเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณต้นแขนขวา 2 แผล ลักษณะบาดแผลเป็นรูกลมขนาดเท่ากัน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ากระสุนปืนเอ็ม 16 ที่จำเลยยิงไปกระทบวัตถุอื่นทำให้ความเร็วของกระสุนปืนลดลงแล้วกระสุนปืนไปถูกผู้เสียหายดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้ส่งอาวุธปืน กระสุนปืนของจำเลยและปลอกกระสุนปืนที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุซึ่งยึดไว้เป็นของกลางไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้วผลปรากฏว่าปลอกกระสุนปืนดังกล่าวใช้ยิงจากอาวุธปืนของจำเลยตามรายงานการตรวจพิสูจน์ เอกสารหมาย จ. 11 แสดงว่าเมื่อจำเลยวิ่งไล่ตามจับกุมผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ยอมหยุด ผู้เสียหายกำลังวิ่งหนีออกไปทางประตูวัดเข้าไร่นาของชาวบ้านพ้นจากการจับกุมของจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เมื่อถูกยิงแล้วก็ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนระบุว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงตนเชื่อว่า ผู้เสียหายเบิกความตามจริง ประกอบกับพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้ให้การยืนยันกับพนักงานสอบสวนว่าจำเลยได้เล็งอาวุธปืนไปยังผู้เสียหายก่อนที่จะได้ยินเสียงปืน พนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้ ตามเอกสารหมาย จ. 8ซึ่งเป็นไปได้ที่ในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหนี ผู้เสียหายได้เหลียวกลับไปดูจำเลยบ้างจนผู้เสียหายหกล้ม พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ พยานของจำเลยที่อ้างว่า จำเลยหกล้มอาวุธปืนของจำเลยลั่นขึ้น 1 นัด ทั้งที่จำเลยได้ห้ามไกปืนไว้แล้ว ไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงผู้เสียหาย 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณแขนขวาของผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในขณะวิ่งไล่ตามจับกุมผู้เสียหายและผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปในความมืดพ้นจากการจับกุมของจำเลยในระยะห่างกันประมาณ5 เมตร โดยเล็งปลายกระบอกปืนไปทางผู้เสียหาย กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณแขนขวาระดับเดียวกับอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ถูกอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80”
พิพากษายืน

Share