แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดิน ที่ธรณีสงฆ์ ขับไล่
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ธรณีสงฆ์ ศาลจังหวัดพระประแดง ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ ตัดสินให้ไล่ จำเลยฎีกาว่า โจทย์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดว่า ที่พิภาษนี้เปนที่ธรณีสงฆ์แห่งวัดโดยได้รับพระบรมราชานุญาตฤาพระบรมราชานุมัติ เมื่อโจทย์นำสืบไม่ได้ จะวินิจฉัยว่าที่นี้เปนที่ธรณีสงฆ์ไม่ได้ แม้จะนำสืบได้ว่า จำเลยได้เคยอาศรัยต่อวัดก็ไม่ทำให้ที่พิภาษนี้กลายเปนที่วัดไปได้ เพราะวัดในพระพุทธสาสนาจะได้ที่ดินในพระราชอาณาจักรมาเปนสมบัตินั้น จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตฤาพระบรมราชานุมัติ เอกชนไม่มีสิทธิจะยกที่ดินให้แก่วัดโดยลำภัง อ้างพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ มาตรา ๗ – ๙ แลคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๐๔/๖๒
ฎีกาตัดสินว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยอาศรัยวัด ไม่ใช่ที่ ๆ จำเลยได้รับมรฎกมาดังข้อต่อสู้ ที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่มาตรา ๖ ข้อ ๒ ท่านบัญญัติว่าเปนสมบัติของวัด แลในมาตรา ๗ นั้นมีความว่า “ที่วัดก็ดีที่ธรณีสงฆ์ก็ดี เปนสมบัติของพระสาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เปนอรรคสาสนูปถัมภกทรงปกครองรักษาโดยพระบรมราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธินั้นไปไม่ได้” แลวัดนี้ก็เปนวัดที่ขึ้นในกรมธรรมการ เปนผู้ดูแลรักษาตามน่าที่อยู่แล้วส่วนมาตรา ๙ นั้นบังคับว่า ผู้ใดจะสร้างวัดขึ้นใหม่ จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตจึงจะสร้างได้ ส่วนวัดนี้เปนวัดที่สร้างมานมนานก่อนใช้พระราชบัญญัตินี้ แลวัดนี้ได้ขึ้นอยู่ในกรมธรรมการในพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว ไม่ได้อยู่ในข้อบังคับแห่งมาตรานี้ อนึ่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๐๔/๒๔๖๒ ซึ่งจำเลยอ้างมานั้นก็ไม่ตรงกับเรื่องนี้ โดยเหตุนี้ที่รายนี้ จึงเปนที่ธรณีสงฆ์เปนสมบัติของวัดโดยแน่ชัด จึงพิพากษายืน ตามศาลล่าง ให้ยกฎีกาจำเลย