แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย จ. มารดาผู้ตายจึงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคหนึ่งได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ริบอาวุธปืน ปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายจันทร์ ผู้เสียหาย นางสาวจันทร์พิมพ์ มารดาของนายธนัฐศรณ์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่น โดยให้เรียกนายจันทร์และนางสาวจันทร์พิมพ์ว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ
โจทก์ร่วมที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดประโยชน์ระหว่างเจ็บป่วยไม่สามารถประกอบกรณียกิจตามปกติต้องรักษาตัวทำให้ขาดรายได้ 60 วัน วันละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 30,000 บาท เจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานเป็นเงิน 170,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์ร่วมที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ เป็นเงิน 100,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 8,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี เป็นเงิน 1,920,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,020,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของตนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 25 ปี และปรับ 2,000 บาท สำหรับโทษปรับหากไม่ชำระให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมที่ 2 กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 100,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 90,000 บาท แก่นางสาวจันทร์พิมพ์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ตายเป็นบุตรของนางสาวจันทร์พิมพ์ ซึ่งเกิดจากสามีคนเก่าของนางสาวจันทร์พิมพ์ ส่วนโจทก์ร่วมที่ 1 เป็นสามีคนปัจจุบันของนางสาวจันทร์พิมพ์ สำหรับจำเลยเป็นพี่ชายของนางสาวจันทร์พิมพ์ เดิมที่ดินของนางสาวจันทร์พิมพ์และจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แล้วต่อมามีการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินเป็นสัดส่วน โดยมีการกันเป็นทางเดินไว้ แต่การรังวัดกันทางเดินผิดพลาดคลาดเคลื่อน ซึ่งจะต้องมีการรังวัดสอบเขตใหม่ ก่อนเกิดเหตุนางสาวจันทร์พิมพ์และจำเลยมีปากเสียงกันเกี่ยวกับเรื่องที่ดินเป็นประจำ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่นางสาวจันทร์พิมพ์กับผู้ตายกำลังขุดดินบริเวณทางเดินเพื่อวางท่อประปา จำเลยเข็นรถปูนผ่านมาโดยจำเลยพาอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน สพ 1/009988 ซึ่งเป็นของจำเลยที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนท้องที่ติดตัวมาด้วย และเกิดการโต้เถียงกันระหว่างฝ่ายนางสาวจันทร์พิมพ์และผู้ตายกับฝ่ายจำเลย ต่อมาผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงในเขตที่ดินของผู้เสียหาย กระสุนปืนถูกผู้ตายที่ใต้คางด้านซ้ายและใต้รักแร้ขวาด้านใน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนโจทก์ร่วมที่ 1 ถูกกระสุนปืนที่บริเวณหน้าอกและสะบักขวา เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานยึดอาวุธปืนพกกระบอกดังกล่าว กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 3 นัด และปลอกกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 3 ปลอก เป็นของกลาง ความผิดฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของตนยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย และฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 1 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
…มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ร่วมที่ 1 เบิกความยืนยันว่า โจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ได้มีส่วนร่วมทำร้ายร่างกายจำเลย แต่เป็นผู้เข้าไปห้ามการทะเลาะวิวาทระหว่างจำเลยกับผู้ตาย ข้อเท็จจริงได้ความว่า การที่โจทก์ร่วมที่ 1 เข้าไปห้ามและดึงผู้ตายออกมาห่างตัวจำเลย จึงเป็นโอกาสให้จำเลยชักอาวุธปืนออกมายิงผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 1 ดังที่วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น เมื่อโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายจำเลย แต่ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงได้รับอันตรายสาหัส โจทก์ร่วมที่ 1 จึงเป็นผู้เสียหาย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า นางสาวจันทร์พิมพ์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย นางสาวจันทร์พิมพ์จึงไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่งได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางสาวจันทร์พิมพ์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางสาวจันทร์พิมพ์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7