คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1757-1760/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องความอาญาและคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ เมื่อเรื่องที่โจทก์ฟ้องเป็นเรื่องที่ฟ้อง เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ซึ่งไม่ใช่เรื่องอายุความฟ้องร้อง กรณีจึงจะนำมาตรา 51 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับหาได้ไม่ โจทก์ต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินกำหนด 1 ปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนการครอบครองที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องจำเลยเป็นใจความว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ปรากฎตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่ดินของโจทก์แต่ละสำนวนเป็นสวนยางพาราและมีผลอาสินปลูกอยู่ โจทก์แต่ละคนได้ครอบครองที่ดินของตนดังกล่าวมาด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธิ

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2516 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2516 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยบังอาจบุกรุกเข้ายึดถือเอาที่ดินของโจทก์แต่ละคนดังปรากฎตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง และจำเลยตัดฟันยางพารา ต้นสะตอ ต้นขนุน และต้นเนียงซึ่งเป็นพืชผลกสิกรของโจทก์แต่ละคนเสียหาย โจทก์ทุกคนเคยห้ามปรามจำเลยแล้วหลายครั้ง จำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359, 362 กับพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ให้จำเลยคืนโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ฯลฯ

จำเลยให้การทุกสำนวนเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดทางอาญา แต่เป็นคดีแพ่งเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องทางแพ่งแล้ว ที่ดินตามโจทก์ฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยโดยพ่อตายกให้ จำเลยได้ครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนปัจจุบันนี้เป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2516 จำเลยตัดต้นยางพาราเก่าลงทั้งหมด แล้วปลูกยางพันธ์เกษตรแทนฟ้องโจทก์ทุกสำนวนเคลือบคลุมและขาดอายุความ ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 359 ลงโทษตามมาตรา 359 บทหนักตามมาตรา 90 จำคุก 1 ปีที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยคืนโจทก์ ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ฯลฯ

โจทก์ทุกสำนวนฎีกาว่าโจทก์ยังไม่หมดสิทธิฟ้องเรียกเอาที่พิพาทคืนและการกระทำของจำเลยผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์จำเลยแจ้งการครอบครองที่ดินรุกล้ำทับกัน โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์2516 จำเลยเข้ายึดถือครอบครองโดยเข้าแผ้วถางที่พิพาท โจทก์อ้างว่าสิทธิฟ้องของโจทก์ยังมีอยู่เพราะโจทก์ได้แจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวน แต่วันที่ 12 เมษายน 2516 อายุความสะดุดหยุดลงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ซึ่งไม่ใช่เรื่องอายุความฟ้องร้องกรณีนี้จึงนำมาตรา 51 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ บังคับไม่ได้ โจทก์ต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทตามบทบัญญัติดังกล่าวภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีแล้วโจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนการครอบครองที่พิพาท ฯลฯ

พิพากษายืน ฯลฯ

Share