คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1753/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องเพียงคดีเดียว กิจการต่าง ๆ ที่ระบุไว้ เช่น การแต่งทนาย ถอนฟ้อง ยอมความ อุทธรณ์ฎีกา รวมตลอดถึงการรับเงินในคดี ล้วนเป็นแต่กิจการเฉพาะคดีนั้นทั้งสิ้น จึงไม่ใช่ใบมอบอำนาจทั่วไป คงปิดอากรแสตมป์เพียง 5 บาท
หนังสือรับสภาพหนี้ ไม่ใช่ตราสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
การค้ำประกันจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีกรณีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 ถึง 701 เช่น เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แล้วเจ้าหนี้ไม่ยอมรับ การที่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันแจ้งให้เจ้าหนี้คือโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้เสียภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้องคดีนั้น การค้ำประกันยังไม่ระงับ

ย่อยาว

โจทก์มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง ให้พันตำรวจตรีชวลิต ประเสริฐกุล ฟ้องคดีนี้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้นำเช็คสั่งจ่ายเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทมาแลกเงินกับโจทก์ เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารได้ปฏิเสธการใช้เงินตามเช็ค โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามเช็คแล้ว ต่อมาวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะผ่อนชำระหนี้รายนี้ไม่น้อยกว่าเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท และยอมให้ดอกเบี้ย จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว เมื่อทำสัญญากันแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินแก่โจทก์เลย ดอกเบี้ยก็ไม่เคยชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยค้างชำระ ๘,๕๐๐ บาท ดอกเบี้ยแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ถึงวันฟ้อง ๖,๒๕๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การและเพิ่มเติมคำให้การไม่รับรองว่าหนังสือมอบอำนาจจะถูกต้องแท้จริงหรือไม่ จำเลยที่ ๑ จะได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ ๒ จะได้ทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์หรือไม่ หากจะฟังว่าจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้จริง ก็หลุดพ้นความรับผิดแล้ว เพราะโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ยที่ค้าง ๘,๕๐๐ บาท ดอกเบี้ยจากวันผิดนัดถึงวันฟ้อง ๖,๒๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๑๔,๗๕๐ บาท ให้เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันชำระให้โจทก์แทนจนครบ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ข้อแรกจำเลยที่ ๒ ฎีกาขึ้นมาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเอกสาร จ.๒ เป็นใบมอบอำนาจทั่วไป แต่ปิดอากรแสตมป์เพียง ๕ บาท และหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เอกสาร จ.๕ ไม่ปิดอากรแสตมป์เลย ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสาร จ.๒ เป็นหนังสือที่โจทก์มอบอำนาจให้พันตำรวจตรีชวลิตฟ้องคดีนี้เพียงคดีเดียว กิจการต่าง ๆ ที่ระบุไว้ เช่น การแต่งทนาย ถอนฟ้อง ยอมความ อุทธรณ์ฎีกา รวมตลอดถึงการรับเงินในคดี ล้วนเป็นกิจการเฉพาะคดีทั้งสิ้น จึงไม่ใช่ใบมอบอำนาจทั่วไป ที่ปิดอากรแสตมป์ไว้ ๕ บาทถูกต้องแล้ว ส่วนหนังสือสัญญารับสภาพหนี้เอกสาร จ.๕ นั้น ไม่ใช่ตราสารตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ในประมวลรัษฎากร จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ เอกสาร ๒ ฉบับดังกล่าว ใช้เป็นพยานหลักฐานได้
ฎีกาของจำเลยที่ ๒ อีกข้อหนึ่งมีว่า การที่จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันได้แจ้งให้เจ้าหนี้คือโจทก์ ฟ้องจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกหนี้เสียภายใน ๗ วัน โจทก์ไม่ฟ้องคดีตามกำหนดนี้ จำเลยที่ ๒ จะพ้นความรับผิดหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว การค้ำประกันจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีกรณีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ คือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๙๘ ถึงมาตรา ๗๐๑ เช่น เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แล้วเจ้าหนี้ไม่ยอมรับ แต่กรณีที่จำเลยที่ ๒ อ้าง ไม่ใช่กรณีตามบทบัญญัติดังกล่าว การค้ำประกันยังไม่ระงับ จำเลยที่ ๒ จึงยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่
พิพากษายืน

Share