แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งเจ้าหน้าที่ – ฝ่ายทหารเข้ายึดทรัพย์สินและกิจการของบริษัทฯหนึ่ง โดยอาศัยอำนาจกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 12 แล้วให้กองทัพบกจัดการเกณฑ์ทรัยพ์สินของบริษัทนี้ให้มาเป็น – กรรมสิทธิของทางราชการทหารตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 10 ข้อ 2 ประกอบด้วยพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. 2469 กระทรวงกลาโหมหาได้ดำเนินการเณฑ์ตามพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. 2464 ไม่ คงยึดแต่ทรัพย์สินของบริษัทไว้เป็นเวลาถึงเกือบ 3 ปี แล้วจึงคืนให้บริษัท ดังนี้ ย่อมเป็นการยึดโดยมิได้มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมาย เพราะพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 12 ให้อำนาจที่จะทำการยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อทางกระทรวงกลาโหมไม่ดำเนินการให้ถูกดต้องดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมเป็นการละเมิดสทิธิของบริษัทที่ถูกยึด ตามป.ม.แพ่งฯมาตรา 420 , 421 กระทรวงกลาโหมจึงต้องรับผิดใช่ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท
ย่อยาว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเข้ายึดทรัพย์สินและกิจการของบริษัทศรีราชาโจทก์ โดยอาศัยกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๑๒ แล้วให้กองทัพบกจัดการเกณฑ์ทรัพย์สินของบริษัทโจทก์นี้ ให้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของทางราชการทหารตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๑๐ ข้อ ๒ ประกอบด้วยกพระราชบัญญัติเกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๖๔ แผนกที่ ๓ ให้บริษัทโจทก์มอบทรัพย์สินและกิจการทั้งหมดให้แก่เจ้าหน้าที่ตามคำสั้งนี้ เมื่อกองทัพบกจัดการเกณฑ์และเจ้าของ(บริษัทโจทก์) ได้รับเงินค่าทดแทนเรียบร้อยแล้ว ให้ถอนการยึดได้ แต่กระทรวงกลาโหมหาได้ดำเนินการตามคำสั่งนี้ไม่ คงเป็นแต่ยึดบริษัทโจทก์ไว้ตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ไว้เป็นเวลาเกือบ ๓ ปี แล้วจึงคืนให้แก่บริษัทโจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องกระทรวงกลาโหมเป็นจำเลยเรียกเอาราคาทรัพย์สินต่างๆที่ขาดตกบกพร่องในระหว่างที่ทหารยึดครอง และเรียกว่าเสียหายที่ขาดประโยชน์ในการใช้ทรัพย์สินของโจทก์ เป็นเงิน ๙๘๓,๒๖๕ บาท ๔๗ สตางค์ กับดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่าหลายประการ และแก้ว่าไม่ต้องรับผิดโดยอำนาจกฎอัยการศึก ๒๔๕๗ มาตรา ๑๒ จะอ้าง พ.ร.บ. เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๖๔ มาใช้ไม่ได้ เพราะยังไม่มีการเกณฑ์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ยังมิได้จัดการเกณฑ์ให้ลุล่วงไปตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก ทางราชการไม่มีหน้าที่ต้องให้ค่าทดแทนค่าเสียหาย จึง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๑๒ ให้อำนาจที่จะทำการยึดไว้ชั่วคราว เท่านั้น หาใช่ตั้งเกือบ ๓ ปี ดังที่ปรากฎในคดีไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยยึดเอาทรัพย์สินรายนี้ไว้โดยไม่ดำเนินการเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๖๔ นอกจากจะเป็นการไม่ปฎิบัติตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังเป็นการยึดเอาทรัพย์สินรายนี้ไว้ โดยมิได้มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมาย การที่จะดำเนินการเกณฑ์ตามพ.ร.บ.เกณฑ์พลเมืองอุดหนุนราชการทหารหรือไม่เป็นเรื่องของจำเลยก็เมื่อจำเลยเองไม่ดำเนินการ จะเอาเหตุนี้ทำให้เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ตามประมวลรัษฎากรแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๐, ๔๒๑ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
ฯลฯ ฯลฯ
จึงพร้อมกันพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าสินทดแทนให้แก่โจทก์ ๕๒๗,๔๑๘ บาท ๙๖ สตางค์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ++ ต่อปี
ฯลฯ ฯลฯ