คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำให้การของจำเลยอ่านรวมกันพออนุมานได้ว่าจำเลยโต้เถียงเรื่องการซื้อขายที่พิพาทว่า เป็นการไม่สุจริต ก็ถือว่าจำเลยโต้เถียงว่า โจทก์ทำการโดยไม่สุจริตแล้ว
ในข้อโต้เถียงเรื่องสุจริตหรือไม่นั้นมี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 บัญญัติเป็นข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ฉะนั้นเมื่อจำเลยโต้เถียงว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต จำเลยย่อมมีหน้าที่พิสูจน์แสดงหักล้างข้อสันนิษฐานนี้
ที่ดินซึ่งเป็นที่มีโฉนดเป็นหลักฐาน แม้หากจำเลยจะได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งอยู่ภายในโฉนดมาโดยปรปักษ์ต่อเจ้าของเดิมเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วก็ตามจำเลยมิได้จดทะเบียนสิทธิตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง จะยกสิทธิครอบครองอันยังมิได้จดทะเบียนนั้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ได้ที่มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโอนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 970ตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ 30 ไร่เศษโดยซื้อจากนายเส็ง งามขำซื้อแล้วโจทก์ตรวจดูเขตที่ดินตามหน้าโฉนดปรากฏว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์ทางด้านเหนือเนื้อที่ 2 ไร่เศษ โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ชั้นแรกจำเลยพูดอิดเอื้อนว่าจะรื้อ ในที่สุดกลับว่าเป็นที่ดินของจำเลยจึงให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่ดินและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่าจำเลยปลูกเรือนมีต้นไม้เป็นรั้วล้อมมาเป็นเวลา31 ปีโดยเจตนาครอบครองเป็นเจ้าของ และถือกรรมสิทธิที่พิพาทโดยสงบ เปิดเผย ไม่มีใครขัดขวาง โจทก์ไม่เคยบอกให้จำเลยรื้อบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท จำเลยไม่เคยพูดขอซื้อที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยเคยบอกโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลยโจทก์ไม่คัดค้านและโจทก์ไม่เคยซื้อที่พิพาทจากนายเส็ง งามขำที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งจำเลยจับจองมานานแล้ว

ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทอยู่หน้าโฉนดของโจทก์การที่จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมากว่า 30 ปี โดยมิได้จดทะเบียนสิทธิไม่เป็นข้อต่อสู้ โจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิไว้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้เสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหรือไม่นั้นจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบได้ จึงพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร และให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายให้เป็นพับไป

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ภายในโฉนดที่ 970 ที่นายเส็งได้จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์และโจทก์ได้เสียค่าตอบแทน แต่โจทก์ซื้อมาโดยไม่สุจริตจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยไม่มีใครขัดขวางสิทธิเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้วโจทก์ไม่ควรได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย 2 ศาล 150 บาทแทนจำเลย

โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตไว้ในคำให้การ จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบและศาลจะรับฟังความข้อนี้ไม่ได้กับฎีกาคัดค้านในข้อเท็จจริงว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริต

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยอ่านรวมกันพออนุมานได้ว่าจำเลยโต้เถียงเรื่องการซื้อขายที่พิพาทว่าเป็นการไม่สุจริต แต่ในข้อโต้เถียงเรื่องสุจริตหรือไม่นั้นมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 บัญญัติเป็นข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ฉะนั้นเมื่อจำเลยโต้เถียงว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต จำเลยย่อมมีหน้าที่พิสูจน์แสดงหักล้างข้อสันนิษฐานนี้

ได้ตรวจคำพยานหลักฐานของจำเลยตลอดแล้วจำเลยมิได้นำสืบให้เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ทำการไม่สุจริตอย่างไรและจำเลยยังเบิกความรับว่าเมื่อนายเส็งขายที่โฉนดที่ 970 ให้นายแหวนโจทก์เมื่อ 5 ปีมานี้จำเลยก็ทราบ นายเส็งตายเมื่อปีกลายนี้ เวลานายเส็งจะขาย นายเส็งได้บอกให้จำเลยรู้ด้วยแต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านแสดงตนว่าเป็นเจ้าของที่พิพาทให้โจทก์รู้แต่อย่างไรเลย ตามคำให้การจำเลยกล่าวว่าจำเลยเคยบอกโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลยโจทก์ไม่คัดค้านครั้นนำสืบ จำเลยก็มิได้นำสืบถึงความข้อนี้โจทก์นำสืบว่าได้ซื้อที่ดิน รายนี้ซึ่งมีเนื้อที่ 30 ไร่เศษ โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโอนซื้อขายกันต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายซื้อแล้วโจทก์ไปดูที่ดินปรากฏว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินนี้ทางทิศเหนือ ในเนื้อที่ราว 2 ไร่เศษ (ตอนปลายสุดของที่ ดังปรากฏตามแผนที่วิวาท) โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนออกไปจำเลยบิดพลิ้วและท้าให้ฟ้อง เมื่อโจทก์จะซื้อจากนายเส็ง นายเส็งได้บอกว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่นี้โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ข้อกล่าวอ้างในเรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตจึงรับฟังไม่ได้

ที่ดินรายนี้เป็นที่ดินมีโฉนดเป็นหลักฐานแม้หากจำเลยจะได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งอยู่ภายในโฉนดมาโดยปรปักษ์ต่อเจ้าของเดิมเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วก็ตามจำเลยมิได้จดทะเบียนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรค 2 จะยกสิทธิครอบครองอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีนี้ไม่ได้จำเลยต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์ชอบด้วยรูปคดีแล้ว

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนาย 150 บาทชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์

Share