คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ตาม ป.อ. มาตรา 282 มีกำหนด 5ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษให้จำคุก 3 ปี คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 ฎีกาที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปเที่ยว แล้วพาผู้เสียหายไปให้ ก. กระทำชำเราเป็นการคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวน เพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้อุบายหลอกลวงพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร้จความใคร่ของผู้อื่นก็ดี และฎีกาที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดดังฟ้องก็ดีเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาผู้เสียหายไป เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้น เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นได้ร่วมกันเป็นธุระจัดหาล่อไปชักพาไป เพื่อการอนาจารซึ่งนางสาว ด. อายุ 17 ปี ผู้เสียหายโดยจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันชักชวนผู้เสียหายไปเที่ยว ผู้เสียหายหลงเชื่อยินยอมไปกับจำเลยทั้งสามจึงได้ถูกจำเลยทั้งสามพาไปยังโรงแรมเพื่อให้ผู้อื่นกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หนึ่งครั้ง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2525 มาตรา 4
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 จำคุก 5 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 มีกำหนด 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นให้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาโดยอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายในฎีกาข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปเที่ยว แล้วพาผู้เสียหายไปให้นายโกวิทย์ ทวีเกษม กระทำชำเราเป็นการคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวน เพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้อุบายหลอกลวงพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น และในฎีกาข้อสามว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดดังฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวล้วนแต่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่ปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อแรกและข้อแรกและข้อสามมาจึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนฎีกาข้อสองที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282 เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้นเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อสองมาจึงเป็นการมิชอบอีกเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย’
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 3.

Share