คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ก่อนที่โจทก์ร่วมถูกคนร้ายฟัน จำเลยได้ชักชวนโจทก์ร่วมให้ออกไปยืนรออยู่ที่หน้าซุ้มประตูวัดแล้วจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่ เมื่อ ว. พี่เขยของจำเลยเข้าไปฟันโจทก์ร่วมแล้วได้วิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยติดเครื่องรออยู่หลบหนีไปด้วยกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยกับ ว. ได้คบคิดที่จะทำร้ายโจทก์ร่วมในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 แม้การชักชวนโจทก์ร่วมไปที่เกิดเหตุจะเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่พวกของจำเลยกระทำความผิดหรือการที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์พาพวกหลบหนีจะมิใช่เป็นการกระทำในส่วนสำคัญหรือสาระสำคัญของความผิดฐานพยายามฆ่าก็ตามแต่เมื่อจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำแล้วจำเลยก็มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2540 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันใช้มีดขนาดยาวประมาณ1 ศอก เป็นอาวุธฟันนายเสียง แคนลาด ผู้เสียหาย บริเวณศีรษะและร่างกายหลายครั้งโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยกับพวกลงมือกระทำผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเนื่องจากแพทย์รักษาไว้ทันท่วงทีเพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน และจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เหตุเกิดที่ตำบลเหล่าหลวง อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81, 83 และ 288

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณานายแสบหรือเสียง แคนลาด ผู้เสียหายโดยนางอ่อนศรี แก้วศรี ผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ที่จำเลยกระทำถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิด แต่เป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกก่อนที่พวกของจำเลยกระทำความผิด จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิดเท่านั้น พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80และ 86 จำคุก 6 ปี 8 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า ก่อนที่โจทก์ร่วมถูกคนร้ายฟันจำเลยได้ชักชวนโจทก์ร่วมให้ออกไปยืนรออยู่ที่หน้าซุ้มประตูวัด นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีนายพรหมนุสิทธิ์วงศ์คำจันทร์ และนายรัศมี อุดไส เป็นประจักษ์พยานโดยต่างเบิกความยืนยันว่า ขณะที่พยานทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ที่บ้านนายโฮมเศษโด ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูวัดห่างประมาณ 8 ถึง 10 เมตรเห็นจำเลยกับโจทก์ร่วมเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูวัดแล้วจำเลยเดินไปสตาร์ทรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ห่างจากประตูวัดประมาณ 10 เมตรขณะเดียวกันนายวิทย์ได้เข้าไปใช้มีดฟันโจทก์ร่วม 3 ถึง 4 ครั้งโจทก์ร่วมยกมือขึ้นปัดป้องแล้ววิ่งหนีเข้าไปในวัด ส่วนนายวิทย์วิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยติดเครื่องรออยู่หลบหนีไปทางทิศตะวันออก คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวนี้สอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของโจทก์ร่วม ประกอบกับพยานโจทก์ทั้งสองเป็นคนหมู่บ้านเดียวกับจำเลยและรู้จักจำเลยมาก่อน อีกทั้งนายรัศมีได้รับมอบหมายให้รักษาความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณงาน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากจำเลยชักชวนโจทก์ร่วมไปยืนรออยู่ที่หน้าประตูวัดแล้ว จำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่ เมื่อนายวิทย์พี่เขยของจำเลยเข้าไปฟันโจทก์ร่วมแล้วได้วิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยติดเครื่องรออยู่หลบหนีไปด้วยกัน การที่จำเลยชักชวนโจทก์ร่วมออกไปยืนรอที่หน้าประตูวัดเพื่อให้นายวิทย์พี่เขยของจำเลยเข้าไปฟันโจทก์ร่วม แล้วนายวิทย์วิ่งไปขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยติดเครื่องรออยู่หลบหนีไปด้วยกัน เช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับนายวิทย์ได้คบคิดที่จะทำร้ายโจทก์ร่วมในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แม้การชักชวนโจทก์ร่วมไปที่เกิดเหตุจะเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่พวกของจำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4วินิจฉัยก็ตาม หรือการที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์พาพวกหลบหนีจะมิใช่เป็นการกระทำในส่วนสำคัญหรือสาระสำคัญของความผิดฐานพยายามฆ่าดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำแล้ว จำเลยก็มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 แต่เป็นการร่วมกระทำความผิดกับพวกของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ปัญหาข้อนี้แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะมิได้ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เองและปรับบทความผิดให้ถูกต้องได้โดยลงโทษไม่เกินกว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4กำหนดไว้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยฎีกามาด้วยว่านายวิทย์พวกของจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมนั้นศาลฎีกาเห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าหลังจากฟันโจทก์ร่วมแล้วนายวิทย์ไม่ได้ตามไปฟันโจทก์ร่วมอีกทั้ง ๆ ที่มีโอกาสที่จะฟันได้ตามที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่การที่นายวิทย์ใช้มีดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่ศีรษะโจทก์ร่วมอันเป็นอวัยวะสำคัญโดยแรงถึงกับกระโหลกศีรษะแตกนายวิทย์ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าโจทก์ร่วมอาจถึงแก่ความตายได้ ถือได้ว่านายวิทย์มีเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และ 83 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share