แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยแต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำ 4 ปี ขั้นสูงไม่เกิน 6 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 121 (2) แต่จำเลยมีสิทธิขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 ซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวอนุญาตแล้ว การที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำสั่งว่า คดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ไม่จำต้องขออนุญาตให้ยกคำร้องแล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีคดีเยาวชนและครอบครัวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาจึงให้ยกฎีกา ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ของจำเลยและสำนวนคดีให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณา แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ซึ่งอายุพ้นเกณฑ์เยาวชนได้แยกดำเนินคดียังศาลจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 340, 340 วรรคสองและวรรคสี่, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กาญจนบุรี ป – 4687 อาวุธปืนออโตเมติก ขนาด 7.65 มม. ซองกระสุนปืนขนาด 7.65 มม. ปลอกกระสุนปืนขนาด 7.65 มม. และขอให้จำเลยคืนเงิน 400 บาท ที่ยังไม่คืนแก่ผู้เสียหายที่ 1
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 340 วรรคสี่, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 15 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น กับความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนยิงและใช้ยานพาหนะ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ประกอบมาตรา 53 เมื่อคำนวณแล้วเหลือโทษจำคุก 16 ปี 8 เดือน รวมสามกระทงจำคุก 16 ปี 20 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี 10 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรีมีกำหนดขั้นต่ำ 4 ปี ขั้นสูงไม่เกิน 6 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา โดยคิดหักวันที่ถูกควบคุมตัวให้ด้วย ให้ริบรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนกาญจนบุรี ป-4687 อาวุธปืนออโตเมติกขนาด 7.65 มม. ซองกระสุนปืนขนาด 7.65 มม. และปลอกกระสุนปืนขนาด 7.65 มม. และให้จำเลยคืนเงิน 400 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี 10 เดือน โดยเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี มีกำหนดขั้นต่ำ 4 ปี ขั้นสูงไม่เกิน 6 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษากำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 ประกอบมาตรา 105 โดยวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา 104 (1) เป็นกรณีเปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา 39 (1) แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นกักและอบรมในสถานกักและอบรมของสถานพินิจตามเวลาที่ศาลกำหนด แต่ต้องไม่เกินกว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์ส่วนมาตรา 104 (2) เป็นกรณีเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกและอบรมยังสถานพินิจ สถานศึกษาหรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานแนะนำทางจิตตามเวลาที่ศาลกำหนด แต่ต้องไม่เกินกว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นมีอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์เช่นกันซึ่งจะเห็นได้ว่าการกักและอบรมเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนที่แตกต่างไปจากวิธีการฝึกและอบรม ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 121 (2) และ (3) บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา 104 และ105 เว้นแต่ในกรณีที่การใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนนั้นเป็นการพิพากษา หรือมีคำสั่งให้ส่งเด็กหรือเยาวชนไปเพื่อกักและอบรมมีกำหนดระยะเวลาเกิน 3 ปี หรือการกักและอบรมนั้นมีกำหนดระยะเวลาขั้นสูงเกิน 3 ปี ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดกาญจนบุรี แม้ศาลชั้นต้นกำหนดระยะเวลาฝึกและอบรมขั้นต่ำ 4 ปี ขั้นสูงไม่เกิน 6 ปี ก็หาใช่เป็นการกักและอบรมที่ระบุเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 121 (2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 ไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ผู้ปกครองรับไปดูแลแทนการส่งไปฝึกอบรมเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลในการกำหนดวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตราดังกล่าว แต่จำเลยยังมีสิทธิขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 122 ซึ่งจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2545 ขอให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกาญจนบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ แต่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำสั่งว่า “ศาลมีคำพิพากษาให้ส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจฯ มีกำหนดระยะเวลาเกิน 3 ปี จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 121 (2) และ (3) ตอนท้าย ไม่จำต้องขออนุญาตตามมาตรา 122 ให้ยกคำร้อง” เป็นการไม่ถูกต้อง เมื่อการรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นมิได้ผ่านขั้นตอนการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา”
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวและยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ของจำเลยและสำนวนคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกาญจนบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณา แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อไป