คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คผู้ถือต้องรับผิดต่อผู้ถือซึ่งเป็นผู้ทรงเมื่อไม่มีข้อต่อสู้ว่าผู้ทรงรับโอนโดยไม่สุจริตอย่างใดก็ไม่มีข้อที่ต้องสืบพยาน อุทธรณ์ฎีกาขอให้สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เป็นคำขอไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็ค 20,000บาท กับดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัด จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 วรรคแรกบัญญัติว่า “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น” ประกอบด้วยมาตรา 914 ที่บัญญัติว่า “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำยื่นโดยชอบแล้ว จะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือ โดยไม่ยอมรับรองก็ดีหรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรงหรือแก่ผู้สลักหลัง” เมื่อจำเลยให้การรับว่าได้สั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับตามฟ้องให้กับนายวิทยาจริง จำเลยจึงต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องเป็นเช็คที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมโอนให้แก่กันด้วยการส่งมอบ เมื่อโจทก์ได้เช็คพิพาทไว้ในความครอบครองก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยสุจริตและโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ที่จำเลยอ้างว่าออกเช็คพิพาทให้กับนายวิทยาเพื่อเป็นการค้ำประกันการชำระเงินค่าแชร์ ต่อมาจำเลยได้ชำระเงินค่าแชร์ให้นายวิทยาซึ่งเป็นหัวหน้าวงแชร์ไปแล้ว แต่นายวิทยาไม่คืนเช็คพิพาทให้จำเลย จำเลยจึงห้ามธนาคารจ่ายเงิน โจทก์จำเลยไม่ได้มีหนี้สินต่อกันนั้นเห็นว่าเมื่อจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า นายวิทยาได้โอนเช็คพิพาทให้โจทก์ด้วยคบคิดกันฉ้อฉล จำเลยก็ไม่อาจอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับนายวิทยาที่จำเลยออกเช็คให้ มาเป็นข้อต่อสู้ให้พ้นความรับผิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 และที่จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย จำเลยก็มิได้อ้างเหตุที่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบ เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้จำเลยฎีกาขอให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานไปตามข้อต่อสู้ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามตาราง 1(2)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2521 แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลมา 515 บาท เกินอัตราตามกฎหมาย

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 400 บาทแทนโจทก์และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาทให้จำเลย”

Share