แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยอ้างว่า จำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านในระหว่างถูกฟ้องเพราะเดินทางไปประเทศซาอุดีอาระเบีย แสดงว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ตามที่ระบุในฟ้อง เจ้าพนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนคำบังคับให้จำเลยตามภูมิลำเนาดังกล่าว จึงเป็นการส่งโดยชอบแล้ว คำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยจะต้องยื่นภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209ทั้งนี้ แม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ แต่เมื่อมีการยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาแล้ว ก็ไม่อาจยื่นคำขอล่าช้าเกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันยึดทรัพย์ได้
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามและจำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่ดินพิพาท ให้แบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยคนละ 1 ส่วน ตามที่คู่ความตกลงกัน ถ้าตกลงกันไม่ได้ว่าใครได้ส่วนไหนก็ให้นำที่ดินพิพาทขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2532 โดยอ้างว่าไม่อาจยื่นคำขอได้เร็วกว่านี้เพราะเพิ่งทราบเหตุและเพิ่งเดินทางกลับจากทำพิธีที่ประเทศซาอุดีอาระเบียจำเลยขอคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพราะที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้ยื่นภายในกำหนด ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยแบ่งที่ดินพิพาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็น 4 ส่วน โดยให้โจทก์ทั้งสามและจำเลยได้รับคนละ 1 ส่วนหากตกลงแบ่งแยกกันไม่ได้ให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งคนละเท่า ๆ กัน โจทก์ทั้งสามได้ส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2527 และศาลได้ออกหมายบังคับคดี เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 โจทก์ทั้งสามนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2527และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 14มกราคม 2528 จำเลยยื่นคำขอพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2532มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยยื่นภายในกำหนดหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ จำเลยเพียงแต่อ้างว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านในระหว่างที่ถูกฟ้องคดีนี้ เพราะจำเลยเดินทางไปประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งแสดงว่า จำเลยยังมีภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง การที่เจ้าพนักงานเดินหมาย ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนคำบังคับให้จำเลยตามภูมิลำเนาดังกล่าวจึงเป็นการส่งโดยชอบแล้ว ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 บัญญัติว่า คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย อนึ่ง ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ข้างบนนี้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่กรณีจะเป็นประการใดก็ตามห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2527และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2528 จำเลยมายื่นคำขอพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน 2532 จึงพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยื่นคำขอพิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงเป็นการชอบแล้วนั้น เห็นว่า แม้จะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จำเลยก็ไม่อาจยื่นคำขอล่าช้าเกิน6 เดือน นับแต่วันยึดทรัพย์ได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษา มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน