คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1743/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้และคดีก่อนทั้งยี่สิบหกคดี จำเลยเป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้าน บ. ซึ่งได้รับความเสียหายด้วยในทุกคดี โดยจำเลยถือโอกาสที่เป็นกรรมการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และเอกสารโดยมีเจตนาเพื่อเบียดบังเอาเงินของสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน บ. ที่มอบหมายให้จำเลยนำไปชำระหนี้กองทุนหมู่บ้าน บ. ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ลักษณะแห่งคดีและความผิดเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งความผิดปรากฏเมื่อเดือนมิถุนายน 2546 พนักงานสอบสวนอาจสอบสวนความผิดทุกสำนวนแล้วเสนอความเห็นและส่งสำนวนไปยังโจทก์พร้อมกันได้ ซึ่งโจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยทุกกระทงความผิดเป็นสำนวนเดียวกันได้ คดีนี้และคดีดังกล่าวทั้งยี่สิบหกคดีจึงมีความเกี่ยวพันกันจนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 160 วรรคหนึ่ง เมื่อคดีนี้ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี การนับโทษต่อจึงต้องอยู่ในบังคับของ ป.อ. มาตรา 91 (2) รวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้วจะเกินกว่า 20 ปี ไม่ได้ เมื่อศาลลงโทษจำคุกจำเลยคดีทั้งยี่สิบหกคดีติดต่อกันมีกำหนด 20 ปีแล้ว จึงไม่อาจนับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษคดีก่อนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 264, 265, 268, 352 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้น ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 5,400 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก, 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานยักยอก จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 เดือน ฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิที่จำเลยปลอมนั้นเอง ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 30 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้วเป็นจำคุก 35 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 17 เดือน 15 วัน นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 381/2547 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 424/2547 ของศาลชั้นต้นนั้น ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้และที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอื่นๆ อีกนั้น ปรากฏว่าคดีดังกล่าว ศาลมีคำพิพากษาให้นับโทษแล้ว จึงให้ยกคำขอนับโทษต่อจากโจทก์ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 5,400 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่นับโทษจำคุกจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ให้ยกคำขอนับโทษต่อของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยยื่นคำร้องขอรวมการพิจารณาคดีนี้เข้ากับคดีอื่นอีก 26 คดี ของศาลชั้นต้น นั้น เห็นว่า โจทก์คัดค้านการรวมพิจารณาคดีและอ้างเป็นประเด็นไว้ในคำฟ้องฎีกาของโจทก์แล้ว จึงไม่สมควรอนุญาตให้รวมพิจารณาคดีนี้เข้ากับคดีดังกล่าว ให้ยกคำร้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 381/2547 ของศาลชั้นต้นนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยมาแล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยถูกฟ้องในความผิดฐานยักยอก ปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมเช่นเดียวกับคดีนี้หลายคดี และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทุกกรรมและนับโทษต่อกันในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4186/2546 ถึง 4207/2546, 52/2547 ถึง 54/2547 และ 105/2547 ของศาลชั้นต้นรวมยี่สิบหกคดี มีกำหนด 20 ปี เต็มตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) แล้ว เห็นว่า ขณะที่จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้และคดีดังกล่าวทั้งยี่สิบหกคดี จำเลยเป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านบางไทรซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยด้วยในทุกคดี โดยจำเลยถือโอกาสที่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านบางไทรกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และเอกสาร โดยมีเจตนาเพื่อเบียดบังเอาเงินของสมาชิกกองทุนหมู่บ้านบางไทรที่มอบหมายให้จำเลยนำไปชำระหนี้กองทุนหมู่บ้านบางไทรไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ลักษณะแห่งคดีและความผิดเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งความผิดปรากฏต่อพนักงานสอบสวนเมื่อเดือนมิถุนายน 2546 แสดงว่าพนักงานสอบสวนอาจสอบสวนความผิดทุกสำนวนให้เสร็จแล้วเสนอความเห็นและส่งนำนวนไปยังโจทก์พร้อมกันทุกสำนวนได้ ซึ่งโจทก์อาจยื่นฟ้องจำเลยทุกกระทงความผิดเป็นสำนวนเดียวกันได้ คดีนี้และคดีดังกล่าวทั้งยี่สิบหกคดีจึงมีความเกี่ยวพันกันจนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 160 วรรคหนึ่ง การนับโทษต่อจึงต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) กล่าวคือ เมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้วจะเกินกว่า 20 ปี ไม่ได้ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคดีดังกล่าวทั้งยี่สิบหกคดีโดยนับโทษต่อกันมีกำหนด 20 ปีแล้ว จึงไม่อาจนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 381/2547 ของศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 381/2547 ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share