แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าห้องซึ่งตั้งอยู่ในทำเลการค้า สัญญาเช่าก็ระบุว่าเช่าเพื่อทำการค้า และเมื่อทำสัญญาแล้วจำเลยไปจดทะเบียนการค้าและยกป้ายร้านไว้หน้าห้อง การค้าของจำเลยคือรับผลไม้มาขายโดยนำไปขายที่แผงลอยอีกแห่งหนึ่ง และที่ห้องพิพาทก็มีการขายของอื่นอีกบ้าง แม้จำเลยจะใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยก็ต้องถือว่าเช่าเพื่อการค้าไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องแถว 2 ชั้นเพื่อประกอบการค้าจากนางอุ่น โปษยะจินดา ค่าเช่าเดือนละ 40 บาทมีกำหนด 1 ปี เมื่อสัญญาเช่าสิ้นอายุจำเลยคงเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดครั้นวันที่ 27 เมษายน2496 นางอุ่น โปษยะจินดาได้ขายที่ดินรวมทั้งห้องพิพาทให้โจทก์ ๆบอกเลิกการเช่า จำเลยไม่ยอมออกทั้งไม่ชำระค่าเช่า โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท กับให้ใช้ค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าเช่าเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2489 โจทก์ไม่เคยบอกเลิกการเช่ากับตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์
ศาลแพ่งพิพากษาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง เพราะได้ซื้อที่ดินและห้องพิพาทมา และให้จำเลยชำระค่าเช่า ส่วนห้องพิพาทฟังว่า จำเลยเช่าเพียงแต่อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ2489 มาตรา 16 โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะขอให้ขับไล่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทที่ตั้งอยู่ในทำเลการค้าเพื่อประกอบการค้า สัญญาเดิมที่เช่ากันปรากฏว่าเช่าเพื่อการค้าขายเท่านั้น จะถือว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยมิได้ใช้ห้องพิพาททำการค้าไม่ได้ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ห้องพิพาทอยู่ริมถนนใหญ่ติดกับห้องอื่น ๆ รวม 20 ห้อง ทั้งอยู่ในทำเลการค้า เดิมจำเลยเป็นตำรวจ ออกจากราชการได้ประกอบการค้าตลอดมา เมื่อทำสัญญาเช่าห้องพิพาทก็ระบุในสัญญาว่าเพื่อทำการค้า แล้วจำเลยได้ไปจดทะเบียนการค้าที่อำเภอและยกป้ายไว้หน้าห้องว่า ร้านวิรมัย การค้าของจำเลยคือรับผลไม้ต่าง ๆ ไปขายโดยนำไปขายที่แผงลอยวัดตะเคียน และที่ห้องพิพาทก็มีการขายของอื่น ๆ อีก พฤติการณ์ถือว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อทำการค้า พิพากษายืน