คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2527

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ระหว่างโจทก์ฟ้องหย่า โจทก์จำเลยอยู่ด้วยกันที่บ้านพักตำรวจซึ่งในอาคารเดียวมีผู้อยู่อาศัยหลายครอบครัวจำเลยต้องออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน แม้เจ้าพนักงานศาลจะปิดหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยาน และคำบังคับไว้ที่บ้านพัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบ แต่ตามความจริงอาจเป็นได้ว่าจำเลยไม่ได้รับเพราะมีคนแอบยักย้ายเอกสารที่ปิดไว้ไปเสีย โจทก์ก็ไม่เคยบอกให้จำเลยทราบ ดังนี้ ถือว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จำเลยมีสิทธิยื่นคำขอได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลงเมื่อทราบเรื่องจากการตรวจดูสำนวนคดีที่ศาล

ย่อยาว

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางไต่สวนจำเลยนำสืบว่าจำเลยรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลตากสิน จำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2524 แล้วอยู่กินร่วมกันที่บ้านเลขที่ 212/380 แขวงทุ่งสองห้อง เขตบางเขน กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นแฟลตของทางราชการกรมตำรวจ โจทก์ได้เอานางสาววิไลวรรณ สวาทพงษ์ มาอยู่ด้วย อ้างว่าเป็นหลาน แต่ความจริงไม่ใช่หลาน เพราะหลังจากศาลพิพากษาคดีนี้แล้ว โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาววิไลวรรณปรากฏตามเอกสารหมาย ล.1 จำเลยไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2525 จำเลยเดินทางไปพบโจทก์ซึ่งย้ายไปรับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร จำเลยทราบจากภริยาของนายตำรวจคนหนึ่งว่า โจทก์จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น จึงไปร้องเรียนต่อพันตำรวจเอกอุดม อันอาดม์งาม ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร ว่าโจทก์จดทะเบียนสมรสซ้อน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 พันตำรวจเอกอุดมเรียกโจทก์จำเลยมาพบกัน โจทก์แสดงหลักฐานว่าศาลแพ่งได้พิพากษาให้หย่ากันแล้ว จำเลยขอเลขคดีจากโจทก์และไปตรวจดูที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2525 จึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับ จำเลยไม่เคยปฏิบัติตนเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันแต่อย่างใด หากจำเลยทราบว่าโจทก์ฟ้องและต่อสู้คดีแล้ว โจทก์ไม่มีทางที่จะชนะคดีจำเลยได้

โจทก์นำสืบว่า ได้มีการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์ และคำบังคับให้จำเลยโดยชอบแล้ว โดยวิธีปิด ณ ภูมิลำเนาของจำเลย

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ระหว่างที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์และจำเลยอยู่ด้วยกันที่บ้านพักของทางราชการกรมตำรวจซึ่งในอาคารเดียวมีผู้อยู่อาศัยหลายครอบครัว จำเลยรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลตากสิน ต้องออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน เมื่อเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยาน และคำบังคับที่บ้านพักในเวลาราชการ จำเลยย่อมจะไม่ทราบ แม้เจ้าพนักงานศาลจะปิดหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยาน และคำบังคับไว้ที่บ้านพักอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบแต่ตามความจริงอาจเป็นได้ว่าจำเลยไม่ได้รับเพราะมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดแอบมายักย้ายเอกสารที่ปิดไว้นั้นไปเสีย โจทก์เองซึ่งอยู่ร่วมบ้านกับจำเลยก็ไม่เคยแย้มพรายให้จำเลยทราบว่าจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้แล้วโจทก์ย้ายไปรับราชการที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร จำเลยก็ยังตามไปเยี่ยมจนมีเรื่องร้องเรียนกล่าวหาว่าโจทก์จดทะเบียนสมรสซ้อนกับหญิงอื่น ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทราบการถูกฟ้องและการส่งคำบังคับ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยเพิ่งทราบเรื่องจากการตรวจดูสำนวนคดีที่ศาลเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2525 และได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2525 การที่จำเลยไม่ทราบการถูกฟ้องและการส่งคำบังคับ ถือว่าไม่สามารถยื่นคำขอโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นสิ้นสุดลง คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยอ้างเหตุที่ขาดนัด และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตลอดจนเหตุแห่งการที่ยื่นคำขอล่าช้ามาโดยละเอียดชัดแจ้งชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share