คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์บรรยายว่า กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ทราบข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2522ส่วนการบอกกล่าวติดตามทวงถามให้จำเลยคืนเงินตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องนั้นหาจำต้องแสดงหลักฐานการบอกกล่าวในคำฟ้องด้วยไม่ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์แสดงข้ออ้างในคำฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทของจำเลยซึ่งโจทก์เช่าเกิดอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่นโจทก์นำเข้าซ่อมและจำเลยได้รับรถคืนไปแล้วแต่เมื่อจำเลยขอเบิกค่าเช่าหลังจากรับรถคืนไปแล้วโจทก์หลงเชื่อโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไปข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 จำเลยจะต้องให้การว่ายอมรับหรือปฏิเสธเมื่อจำเลยไม่ให้การปฏิเสธก็ต้องถือว่าจำเลยยอมรับศาลรับฟังข้ออ้างของโจทก์ตามฟ้องได้อยู่แล้ว โดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบหรือพิสูจน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจสอบพบเรื่องที่จำเลยรับเงินไปโดยไม่มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายแล้วจึงได้รายงานให้ล.กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ทราบเมื่อวันที่ 6 มีนาคม2522ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เพิ่งรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2522. โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่6 มีนาคม 2523 ยังไม่พ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่ารถยนต์โดยสารของจำเลย เพื่อนำมาวิ่งรับคนโดยสาร ต่อมารถยนต์คันหมายเลข ช.บ.3991 เกิดอุบัติเหตุชนกับรถอื่นได้รับความเสียหาย โจทก์ส่งรถคันนี้ไปซ่อมแซมจนเสร็จแล้ว และจำเลยรับคืนไปแล้วนับแต่นั้นโจทก์ไม่เคยนำรถคันดังกล่าววิ่งรับส่งผู้โดยสารอีกเลย แต่จำเลยได้ขอเบิกเงินค่าเช่ารถคันดังกล่าวจากโจทก์ตลอดมารวม 489 วัน วันละ 400 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 195,600 บาท ซึ่งโจทก์หลงเชื่อโดยสำคัญผิดได้จ่ายเงินให้จำเลยไป เป็นการที่จำเลยได้ทรัพย์ไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายและเป็นการให้โจทก์เสียเปรียบและได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้บรรยายว่า โจทก์ทราบข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยตั้งแต่เมื่อใด ทั้งไม่ได้แสดงหลักฐานการบอกกล่าวให้จำเลยทราบในคำฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม และคดีโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เกี่ยวกับประเด็นข้อนี้ จำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่าคำฟ้องของโจทก์ตั้งรูปคดีเรื่องลาภมิควรได้ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์ได้ทราบข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยตั้งแต่เมื่อใดอย่างใด ทั้งไม่ได้แสดงหลักฐานการบอกกล่าวให้จำเลยทราบในคำฟ้องแต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์จึงเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แจ้งชัดว่ากรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ทราบข้อเท็จจริง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2522 ส่วนการบอกกล่าวติดตามทวงถามให้จำเลยคืนเงินตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องนั้นโจทก์ หาจำต้องแสดงหลักฐานการบอกกล่าวในคำฟ้องด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยให้การต่อสู้ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาในข้อต่อไปว่าโจทก์นำสืบเลื่อนลอยไม่สมข้ออ้างตามฟ้องและไม่มีเอกสารพิสูจน์ได้ว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมาย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้ โจทก์แสดงข้ออ้างในคำฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทของจำเลยซึ่งโจทก์เช่าไว้ตามสัญญาเช่าฉบับแรกเกิดอุบัติเหตุชนกับรถคันอื่น เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2518 ได้รับความเสียหาย โจทก์นำเข้าซ่อมและจำเลยได้รับรถคันพิพาทของจำเลยคืนไปเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2519 อันเป็นวันก่อนวันทำสัญญาเช่าฉบับหลังและนับแต่นั้นมาโจทก์ไม่เคยนำรถคันพิพาทของจำเลยเข้ารับส่งผู้โดยสารในเส้นทางใด ๆ ของโจทก์อีกเลย ต่อมาจำเลยได้ขอเบิกเงินค่าเช่ารถคันพิพาทของจำเลยจากโจทก์โดยอ้างว่า ได้นำรถคันพิพาทของจำเลยมาส่งมอบให้โจทก์วิ่งรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2519 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2520 รวม 489 วัน วันละ 400 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 195,600 บาท โจทก์หลงเชื่อโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงจึงได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยรับไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2520 ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 จำเลยจะต้องให้การว่ายอมรับหรือปฏิเสธ แต่ตามคำให้การของจำเลยไม่ได้ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไว้เลยเมื่อจำเลยไม่ให้การปฏิเสธก็ต้องถือว่าจำเลยยอมรับ ศาลรับฟังข้ออ้างของโจทก์ตามฟ้องได้อยู่แล้ว โดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบหรือพิสูจน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์นำสืบเลื่อนลอยไม่สมข้ออ้างตามฟ้อง และไม่มีเอกสารพิสูจน์ได้ว่าจำเลยรับเงินจากโจทก์ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายจึงเป็นอันตกไป ไม่จำต้องวินิจฉัย

จำเลยฎีกาในข้อสุดท้ายว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโดยอ้างว่าจำเลยรับเงินไปจากโจทก์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2520 ต้องถือว่าโจทก์รู้ตั้งแต่วันนั้นเป็นระยะเวลาเกิน 1 ปีแล้ว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าโจทก์นำสืบว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจสอบพบเรื่องที่จำเลยรับเงินไปโดยไม่มีสิทธิจะได้รับตามกฎหมายแล้วจึงได้รายงานให้นายละออ บุญสา กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ทราบเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2522 จำเลยไม่มีพยานสืบหักล้างแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบริษัทโจทก์เพิ่งรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2522 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2523 ยังไม่พ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน

Share