คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1739/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินติดต่อที่ดินของโจทก์ด้านที่โจทก์จำเป็นต้องใช้ฉาบปูนและทาสีอันเป็นการจำเป็นในการปลูกสร้างอาคารของโจทก์ เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยทราบเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว โจทก์ก็ย่อมใช้ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการดังกล่าวได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา1351 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปใช้ที่ดินของจำเลย ตามที่ ป.พ.พ.มาตรา 1351 อันเป็นบทบัญญัติจำกัดสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ แม้การก่อสร้างอาคารของโจทก์ซึ่งติดกับแนวเขตที่ดินจะเป็นการฝ่าฝืนเทศบัญญัติก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๑๘ จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๙๑๙ เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๘ โจทก์ขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงสามชั้นครึ่ง จำนวน ๓ คูหา ในที่ดินของโจทก์ เทศบาลเมืองมหาสารคาม อนุญาตให้โจทก์ก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้ ต่อมาโจทก์ก่อสร้างอาคารเกือบแล้วเสร็จ คงเหลือเพียงการฉาบปูนและทาสีผนังอาคารด้านที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลย และด้านที่ติดต่อกับที่ดินของผู้มีชื่อเท่านั้น โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวขอใช้ที่ดินของจำเลยเพื่อทำการฉาบปูนและทาสีอาคารของโจทก์ แต่จำเลยไม่ยินยอมให้ใช้ที่ดินและไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปในที่ดิน ทำให้โจทก์ไม่อาจก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จได้ขอให้พิพากษาว่า โจทก์และผู้ที่โจทก์มอบหมายมีสิทธิเข้าไปในที่ดินของจำเลย มีสิทธิใช้ที่ดินของจำเลยวางนั่งร้านในการฉาบปูนและทาสีผนังอาคารของโจทก์ที่อยู่ตรงแนวเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยได้จนกว่าการฉาบปูนและทาสีจะเสร็จสิ้นขอให้ห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์และผู้ที่โจทก์มอบหมายในการที่จะเข้าไปฉาบปูนและทาสีผนังอาคารของโจทก์ในที่ดินของจำเลย และห้ามจำเลยขัดขวางในการที่โจทก์และผู้ที่โจทก์มอบหมายได้ขนวัสดุอุปกรณ์นั่งร้าน หรือวัสดุอุปกรณ์รวมทั้งเครื่องมือในการทำนั่งร้าน ในการฉาบปูนและทาสีผนังอาคารของโจทก์เข้าไปในที่ดินของจำเลย ขอให้ห้ามจำเลยรบกวนหรือกระทำการใดอันไม่เป็นการสะดวกแก่โจทก์และผู้ที่โจทก์มอบหมายจะเข้าไปทำการฉาบปูนและทาสีผนังอาคารของโจทก์ในที่ดินของจำเลยและในการที่โจทก์และผู้ที่โจทก์มอบหมายได้ขนวัสดุอุปกรณ์นั่งร้านหรือวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือในการทำนั่งร้าน ในการฉาบปูนและทาสีผนังอาคารของโจทก์เข้าไปในที่ดินของจำเลย
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิใช้ที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่๒๙๑๙ เท่าที่จำเป็นเพื่อทำนั่งร้านฉาบปูนและทาสีอาคารของโจทก์ได้ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ติดต่อกับที่ดินของจำเลย โจทก์ก่อสร้างอาคารสามชั้นครึ่งในที่ดินของโจทก์ชิดแนวเขตด้านที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลย ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.๑ รวม ๓ ภาพ ผนังอาคารที่โจทก์ก่อสร้างด้านที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยยังไม่ได้ฉาบปูนและทาสี โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวขอเข้าไปใช้ที่ดินของจำเลยเพื่อฉาบปูนและทาสีผนังอาคารให้จำเลยทราบแล้ว
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิเข้าไปใช้ที่ดินของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๓๕๑ วรรคแรก บัญญัติว่า “เจ้าของที่ดินเมื่อบอกกล่าวล่วงหน้าตามสมควรแล้วอาจใช้ที่ดินติดต่อเพียงที่จำเป็นในการปลูกสร้าง หรือซ่อมแซมรั้ว กำแพง หรือโรงเรือนตรงหรือใกล้แนวเขตของตน…” ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินติดต่อด้านที่โจทก์จำเป็นต้องใช้ฉาบปูนและทาสีอันเป็นการจำเป็นในการปลูกสร้างอาคารของโจทก์ เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยทราบเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้วโจทก์ก็ย่อมใช้ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการดังกล่าวได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๑มิได้เป็นบทบัญญัติจำกัดสิทธิของเจ้าของที่ดินด้านที่ติดต่อดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยและการที่โจทก์ก่อสร้างอาคารชิดแนวเขตที่ดินเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธินำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๑ มาใช้บังคับนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปใช้ที่ดินของจำเลยซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๑ บัญญัติให้เจ้าของที่ดินด้านที่ติดต่อต้องยินยอมให้เจ้าของที่ดินที่จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้ที่ดินด้านที่ติดต่อได้บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๑ จึงเป็นบทบัญญัติจำกัดสิทธิของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ ทั้งการที่โจทก์ก่อสร้างอาคารของตนก็ได้กระทำไปภายในขอบเขตที่ดินของโจทก์ แม้การก่อสร้างอาคารของโจทก์ซึ่งติดกับแนวเขตที่ดินจะฟังได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนเทศบัญญัติดังที่จำเลยอ้างก็ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๑กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
พิพากษายืน.

Share