คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำเข้าซึ่งสินค้า เมื่อสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว โจทก์ได้ยื่นแบบใบขนสินค้านำเข้าแสดงรายการค้าและชำระภาษีศุลกากร ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรตรวจแบบที่ยื่นถูกต้องแล้วก็รับเงินภาษีอากรที่โจทก์ขอชำระ การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นนี้แม้ในส่วนภาษีการค้าจะได้กระทำแทนกรมสรรพากร ก็หาใช่เป็นการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ไม่ จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามาตรา 30 เสียก่อนฟ้อง เมื่อโจทก์เห็นว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นสินค้าอันได้รับยกเว้นภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาล และโจทก์มีหนังสือถึงกรมศุลกากรขอคืนเงินภาษีที่ได้ชำระไปนี้แล้ว แต่กรมศุลกากรและกรรมสรรพากรไม่ยอมคืนให้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอคืนภาษีดังกล่าวได้
โจทก์ได้นำเครื่องจักรพร้อมทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักรนำเข้ามาในราชอาณาจักรทำการใช้งานผลิตสินค้ามาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งนี้มิใช่เป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้อยู่ แต่เป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ที่สั่งเข้ามาภายหลัง เพื่อใช้ทดแทนของเก่าที่ชำรุด จึงหาใช่สินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษีตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ตรี(11) ไม่
หมายเหตุ วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20/2519 และ 22/2519

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด จำเลยทั้งสองเป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรงการคลัง จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีการค้าและบำรุงเทศบาลเพื่อจำเลยที่ ๒ สำหรับสินค้าที่เข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ได้นำส่วนประกอบและอุปกรณ์ของเครื่องจักรสำหรับผลิตสินค้าเข้ามาในที่โรงงานของโจทก์ที่บางซื่อ กรุงเทพมหานคร คือ ๑. เครื่องวัดการไหลของน้ำมัน ๒-๓.กระดาษและริบบิ้นที่ใช้กับเครื่องบันทึกวัดการเผาซิเมนต์ ๔. เครื่องใช้วิเคราะห์ก๊าซ ๕. ชิ้นส่วนใช้กับเครื่องป้อนซิเมนต์เม็ดเข้าหม้อบดซิเมนต์ ๖. ชิ้นส่วนใช้กับเครื่องสูบน้ำดินดำ ๗. เหล็กกันสึกในหม้อดินทำน้ำดิน ปรากฏรายการตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ของเหล่านี้โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ในการผลิตของตนเอง จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ตรี(๑๑) แต่จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลสำหรับของดังกล่าวจากโจทก์ โจทก์จำต้องจ่ายไปก่อน มิฉะนั้นจำเลยที่ ๑ จะไม่ปล่อยของ โจทก์หนังสือขอคืนภาษีดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยทั้งสองไม่คืนให้โจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ๕,๓๕๖ บาท ๐๙ สตางค์ กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเรียกเก็บจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒๖๗ บาท ๘๐ สตางค์ รวมเป็นเงิน ๕,๖๒๓ บาท ๘๙ สตางค์ และดอกเบี้ยสำหรับเงิน ๕,๓๕๖ บาท ๐๙ สตางค์ อัตราเดียวกันนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองร่วมกันให้การว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรรวม ๗ รายการนั้นเป็นสินค้าอะไหล่ โจทก์สั่งเข้ามาเพื่อสำรองทดแทนของเดิมที่ชำรุดนี้ในใบแสดงราคาสินค้า (อินวอยส์) ที่บริษัทส่งสินค้าเหล่านี้มาก็แจ้งว่าเป็นอะไหล่เครื่องจักร ส่วนประกอบและอุปกรณ์ เพื่อผลิตปูนซิเมนต์นั้นโจทก์นำเข้ามานานแล้ว ดังนั้นโจทก์จึงไม่ได้รับการยกเว้นภาษีการค้าสำหรับสินค้า ๗ รายการ การที่โจทก์ชำระภาษีโจทก์ชำระโดยสมัครใจและเป็นการปฏิบัติโดยชอบถูกต้องตามประมวลรัษฎากรแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกคืนและเรียกดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองก็ไม่มีอำนาจคืนให้โจทก็ได้ หากว่าโจทก์เห็นว่าสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษี โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอยกเว้นภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมกับใบขนสินค้าขาเข้า ฯ ตามระเบียบทีจำเลยที่ ๑ ได้ประกาศไว้ ฉบับที่ ๖/๒๕๐๙ ลงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๙ แต่โจทก์หาได้ปฏิบัติเช่นนั้นไม่ แสดงว่าโจทก์เต็มใจเสียภาษีและเป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษี โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ ขอคืนภาษีหลังจากโจทก์ได้รับสินค้าไปแล้ว ถึง ๘ เดือน ถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน ๕,๓๕๖ บาท ๙ สตางค์แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายฟังได้ยุติว่า โจทก์นำเข้าซึ่งสินค้าทั้ง ๗ รายการตามฟ้อง เมื่อสินค้าดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว โจทก์ได้ยื่นแบบใบขนสินค้านำเข้าแสดงรายการค้าและขำระภาษีศุลกากร ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล จำเลยที่ ๑ ก็ปล่อยของให้โจทก์รับไป ต่อมาโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ ขอคืนเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลได้ชำระไปแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่คืนให้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงข้างต้น โจทก์ยื่นแบบใบขนสินค้าและแบบแสดงรายการการค้าแล้วชำระภาษีศุลกากร ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรจำเลยที่ ๑ ตรวจแบบที่ยื่นถูกต้องแล้วก็รับเงินภาษีอากรที่โจทก์ขอชำระ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นนี้แม้ในส่วนภาษีการค้าจะได้กระทำแทนจำเลยที่ ๒ ก็หาใช่เป็นการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๗ ไม่ จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๓๐ เสียก่อนฟ้อง ฉะนั้นโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ไม่ได้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้าเป็นสินค้าอันได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ตรี(๑๑) ตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่พิจารณาเห็นว่า เครื่องจักรของโจทก์นั้น โจทก์ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักร ทำการใช้งานผลิตสินค้ามาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งนี้มิใช่เป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้อยู่ แต่เป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ที่สั่งเข้ามาภายหลัง เพื่อใช้ทดแทนของเก่าที่ชำรุด จึงหาใช่สินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษีตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ตรี(๑๑) ไม่ ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคำพิพากษาฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา ๑๕๐ บาทแทนจำเลยด้วย

Share