คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1734/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลต้องพิจารณาฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม-วรรคสี่ คือ เป็นแต่เพียงตรวจคำคู่ความว่าจะรับฟ้องแย้งหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเกี่ยวกับฟ้องเดิมก็ต้องรับไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นด่วนวินิจฉัยยกฟ้องแย้งเสีย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ

ย่อยาว

คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้องแย้งของจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ฟ้องโจทก์มีใจความว่า นายไช่หงำเช่าตึกพิพาทของโจทก์ แล้วให้จำเลยเช่าช่วง ครั้นสัญญาหมดอายุโจทก์ให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าใหม่และชำระค่าเช่าให้กับโจทก์โดยตรง จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย

จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าจำเลยก็ได้ตอบยืนยันขอทำสัญญาเช่าไปยังโจทก์ แต่ในที่สุดโจทก์ไม่ยอมทำสัญญาเช่าจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทให้จำเลยเป็นผู้เช่ามีกำหนด 3 ปี

ศาลชั้นต้นสั่งว่า “รับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งเห็นว่าหนังสือโต้ตอบระหว่างโจทก์จำเลยไม่ใช่คำเสนอคำสนองอันก่อให้เกิดสัญญา จะบังคับคดีในลักษณะสัญญาเช่าไม่ได้ ให้ยกฟ้องแย้งเสียและนัดชี้”

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า หนังสือโต้ตอบระหว่างโจทก์จำเลย เป็นคำเสนอสนองโดยชอบก่อให้เกิดความผูกพันเป็นสัญญาเช่าตามกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาสั่งศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3-4 ในชั้นนี้เป็นแต่เพียงตรวจคำคู่ความว่า จะรับฟ้องแย้งหรือไม่ เมื่อเห็นว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิม ก็ต้องรับไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ยังไม่ต้องพิจารณาไปถึงว่าตามฟ้องแย้งจำเลยจะแพ้หรือชนะ คดีนี้ตามเอกสารที่โต้เถียงกันจะเป็นคำเสนอคำสนองเป็นสัญญาผูกพันกันตามกฎหมายหรือไม่นั้นยังไม่ชัดแจ้งพอที่จะด่วนวินิจฉัยยกฟ้องเสีย ควรให้โอกาสอีกฝ่ายหนึ่งแก้คำฟ้องแย้งเสียก่อน พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ

Share