แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลต้องพิจารณาฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรค 3-4 คือ เป็นแต่เพียงตรวจคำคู่วามว่าจะรับฟ้องแย้งหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเกี่ยวกับฟ้องเดิมก็ต้องรับไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เมื่อศาลชั้นต้นด่วนวินิจฉัยยกฟ้องแย้งเสีย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ
ย่อยาว
คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้องแย้งของจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ฟ้องโจทก์มีใจความว่า นายไช่หงำ เช่าตึกพิพาทของโจทก์แล้วให้จำเลยเช่าช่วง ครั้นสัญญาหมดอายุโจทก์ให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าใหม่ และ ชำระค่าเช่าให้กันโดยตรง จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือให้จำเลยไปทำสัญญาเช่า จำเลยก็ได้ตอบยืนยันขอทำสัญญาเช่าไปยังโจทก์ แต่ในที่สุดโจทก์ไม่ยอมทำสัญญาเช่า จึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทให้จำเลยเป็นผู้เช่ามีกำหนด ๓ ปี
ศาลชั้นต้นสั่งว่า “รับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งเห็นว่า หนังสือโต้ตอบระหว่างโจทก์จำเลยไม่ใช่คำเสนอคำสนองอันก่อให้เกิดสัญญา จะบังคับคดีในลักษณะสัญญาเช่าไม่ได้ ให้ยกฟ้องแย้งเสีย และนัดชี้”
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า หนังสือโต้ตอบระหว่างโจทก์จำเลย เป็นคำเสนอสนองโดยชอบก่อให้เกิดความผูกพันเป็นสัญญาเช่าตามกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกาสั่งศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๗ วรรค ๓-๔ ในชั้นนี้ เป็นแต่เพียงตรวจคำคู่ความว่า จะรับฟ้องแย้งหรือไม่ เมื่อเห็นว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิม ก็ต้องรับไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ยังไม่ต้องพิจารณาไปถึงว่าตามฟ้องแย้งจำเลยจะแพ้หรือชนะ คดีนี้ตามเอกสารที่โต้เถียงกันจะเป็นคำเสนอคำสนองเป็นสัญญาผูกพันกันตามกฎหมายหรือไม่นั้น ยังไม่ชัดแจ้งพอที่จะด่วนวินิจฉัยยกฟ้องเสีย ควรให้โอกาสอีกฝ่ายหนึ่งแก้คำฟ้องแย้งเสียก่อน พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ