คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำสืบเอกสารโดยส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวต่อศาลและขอรับคืนไปโดยขอส่งสำเนาไว้แทนเมื่อจำเลยมิได้คัดค้านการนำสืบเอกสารนั้นโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือแต่บางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับย่อมต้องฟังว่าต้นฉบับเอกสารนั้นมีอยู่แท้จริงและถูกต้องและรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้.

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ที่ 1 ได้ เปิด บัญชี เงินฝาก กระแสรายวัน ไว้กับ โจทก์ แล้ว จำเลย ที่ 1 ได้ ทำ สัญญา กู้ เบิกเงิน เกินบัญชี ไว้กับ โจทก์ หลายครั้ง ครั้งแรก เมื่อ วันที่ 21 มีนาคม 2520 เป็น เงิน1,000,000 บาท ต่อมา ทำ สัญญา กู้ เบิกเงิน เกินบัญชี เพิ่มเติมครั้งที่ 1 เป็น เงิน 500,000 บาท และ ทำ สัญญา กู้ เบิกเงิน เกินบัญชีเพิ่มเติม ครั้ง ที่ 2 เป็น เงิน 1,000,000 บาท การ กู้ เบิกเงินเกินบัญชี ครั้งแรก มี นายธนาการ แซ่เตีย จด ทะเบียน จำนอง ที่ดิน จำนวน 2 แปลง เป็น ประกัน หนี้ ดังกล่าว และ ต่อมา โอน ที่ดิน นั้น ให้จำเลย ที่ 2 ที่ 3 โดย ติด ภาระ จำนอง ต่อมา จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ได้ทำ สัญญา ค้ำประกัน และ ได้ ทำ บันทึก จด ทะเบียน ขึ้น เงิน จำนอง ของจำเลย ที่ 1 ต่อ โจทก์ ใน การ กู้ เบิกเงิน เกินบัญชี ทุกครั้ง ต่อมาจำเลย ที่ 1 ไม่ เดิน สะพัด ทาง บัญชี โจทก์ จึง ปิด บัญชี กระแส รายวันของ จำเลย ที่ 1 เมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม 2522 จำเลย ที่ 1 ทำ สัญญาสินเชื่อ การค้า กับ โจทก์ โดย มี เงื่อนไข ให้ โจทก์ ทดรอง จ่ายเงินให้ แก่ จำเลย ที่ 1 ผู้รับ สินเชื่อ ตาม ตั๋วแลกเงิน ทุกฉบับ ไม่เกินวงเงิน 1,500,000 บาท จำเลย ที่ 2 ที่ 3 เข้า เป็น ผู้ ค้ำประกัน และจำนอง ที่ดิน ทั้ง สอง แปลง ข้างต้น เป็น ประกัน หนี้ ดังกล่าว จำเลยที่ 1 นำ ตั๋วสัญญา ใช้เงิน มา แลก เงินสด ไป รวมเป็น เงิน 1,400,000บาท แล้ว ไม่ นำ เงิน มา ชำระ จำเลย ที่ 1 เป็น หนี้ โจทก์ ตาม สัญญากู้ เบิกเงิน เกินบัญชี ถึง วันฟ้อง เป็น เงิน 3,428,766.28 บาทและ หนี้ ตาม ตั๋วสัญญา ใช้เงิน พร้อม ดอกเบี้ย ถึง วันฟ้อง อีก เป็นเงิน 1,473,605.47 บาท โจทก์ บอกกล่าว ให้ จำเลย ทั้ง สาม ชำระ แล้วแต่ จำเลย ทั้ง สาม ไม่ ชำระ โจทก์ ได้ บอกกล่าว บังคับ จำนอง แล้วขอ ให้ บังคับ จำเลย ชำระ เงิน ทั้ง สอง รายการ พร้อม ดอกเบี้ย และบังคับ จำนอง ด้วย
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ว่า จำเลย ที่ 1 ได้ ทำ สัญญา กู้ เบิกเงินเกิน บัญชี และ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ได้ นำ ที่ดิน จำนวน 2 แปลง จำนองเป็น ประกัน หนี้ ตาม สัญญา กู้ เบิกเงิน เกินบัญชี ตาม ฟ้อง จริงแต่ เมื่อ ครบ กำหนด ชำระ คืน จำเลย ที่ 1 ชำระ ดอกเบี้ย ให้ โจทก์ครบถ้วน คง ค้าง ชำระ เพียง ต้นเงิน ส่วน หนี้ ตาม สัญญา สินเชื่อการค้า จำเลย ที่ 1 ค้าง ชำระ โจทก์ เพียง 1,400,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย การ บอกกล่าว บังคับ จำนอง ไม่ ชอบ โจทก์ ไม่ มี อำนาจฟ้อง ขอ ให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระหนี้ ตาม ฟ้อง พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษา ยืน
จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ข้อกฎหมาย ว่า ที่ จำเลย ทั้ง สาม ฎีกา ว่า เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 โจทก์ ส่ง แต่ สำเนา ไม่ ใช่ ต้นฉบับ จึง รับฟัง ไม่ได้ ปรากฏ ว่า โจทก์ ได้ อ้าง และ ส่ง ต้นฉบับ เอกสาร จ.1 จ.2 ต่อ ศาลและ สำเนา เอกสาร ให้ จำเลย ทั้ง สาม แล้ว โดย นาย อภิบูลย์ ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์ เบิกความ ว่า โจทก์ จด ทะเบียน เป็น นิติบุคคล ประเภทบริษัท จำกัด ผู้มี อำนาจ กระทำการ แทน โจทก์ ได้ แก่ นาย ชาตรีโสภณพานิช โดย ลง ลายมือชื่อ และ ประทับตรา บริษัท โจทก์ ปรากฏ ตามเอกสาร หมาย จ.1 (ทนาย แถลง ขอ ส่ง สำเนา และ รับ ต้นฉบับ คืนไป)นาย ชาตรี มอบอำนาจ ให้ นาย อภิบูลย์ ฟ้อง คดี นี้ ตาม หนังสือ มอบอำนาจเอกสาร หมาย จ.2 (ทนาย แถลง ขอ ส่ง สำเนา และ รับ ต้นฉบับ คืน ไป)เมื่อ โจทก์ ส่ง ต้นฉบับ เป็น พยานหลักฐาน ต่อ ศาล แล้ว ขอ รับ ต้นฉบับคืน โดย ขอ ส่ง สำเนา ไว้ แทน นั้น จำเลย ทั้ง สาม ซึ่ง เป็น คู่ความฝ่าย ที่ ถูก อีก ฝ่าย หนึ่ง อ้างอิง เอกสาร มา เป็น พยานหลักฐาน ยัน ตนหา ได้ คัดค้าน การ นำ เอกสาร นั้น มา สืบ โดย เหตุ ที่ ว่า ไม่ มีต้นฉบับ หรือ ว่า ต้นฉบับ นั้น ปลอม ทั้งฉบับ หรือ แต่ บางส่วน หรือสำเนา นั้น ไม่ ถูกต้อง กับ ต้นฉบับ ไม่ ดังนั้น จึง ต้อง ฟัง ว่าเอกสาร หมาย จ.1 จ.2 มี อยู่ แท้จริง และ ถูกต้อง รับฟัง เป็นพยานหลักฐาน ได้
พิพากษา ยืน.

Share