คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่โจทก์มีสิทธิการเช่าห้องพิพาทโจทก์ได้ให้จำเลยเข้าไปอาศัยอยู่โดยตกลงกันว่าจำเลยจะออกจากห้องเมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไป จึงเป็นการก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างกันซึ่งผูกพันคู่กรณีที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง เมื่อจำเลยไม่ยอมออกจากห้องพิพาทจึงมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การที่เจ้าของห้องพิพาทบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เช่าห้องจากการเคหะแห่งชาติและได้ครอบครองอยู่อาศัยตลอดมา จำเลยได้ขออาศัยอยู่กับโจทก์โดยตกลงว่าจำเลยจะยินยอมออกจากห้องเมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ต่อมาโจทก์จะใช้ห้องจึงแจ้งให้จำเลยออกไปจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากห้องพิพาท

จำเลยให้การว่า การเคหะแห่งชาติได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ก่อนฟ้องโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากห้องพิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยขณะที่โจทก์ฟ้องคดีโจทก์ไม่มีสิทธิในห้องพิพาทเพราะการเคหะแห่งชาติได้บอกเลิกสัญญาเช่าห้องพิพาทกับโจทก์แล้ว และโจทก์ไม่ได้ครอบครองห้องพิพาท พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงคงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้ให้จำเลยเข้าไปอาศัยอยู่ในห้องพิพาท การที่โจทก์ให้จำเลยอาศัยนั้นเป็นการก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหวางกันซึ่งผูกพันคู่กรณีที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง เมื่อจำเลยไม่ยอมออกจากห้องพิพาทจึงมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55การที่การเคหะแห่งชาติบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

พิพากษายืน

Share