แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายมีข้อกำหนดในกรณีจำเลย (ผู้ขาย) ผิดสัญญาว่าโจทก์ (ผู้ซื้อ)จะริบเงินประกัน หรือให้จำเลยใช้เงินส่วนที่โจทก์ต้องซื้อสินค้าแพงไปจากข้อตกลงก็ได้ เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญา และแจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์ขอสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายตามเงื่อนไขแห่งสัญญาซึ่งโจทก์จะแจ้งค่าเสียหายให้จำเลยทราบต่อไป จึงเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ว่าไม่ประสงค์จะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทางริบเงินประกัน ดังนั้นเมื่อต่อมาโจทก์ได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์ซื้อสินค้าดังกล่าวแพงไปจากข้อตกลงแก่จำเลย ก็ถือว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยในจำนวนเงินที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น แม้โจทก์จะได้เรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันชดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกันแล้ว เงินดังกล่าวก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น มิใช่เป็นการริบเงินประกันตามสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายอุปกรณ์ไฟฟ้าให้แก่โจทก์รวม 5 รายการเป็นเงิน 247,250 บาท จำเลยผิดสัญญาส่งของให้โจทก์ไม่ครบ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายและโจทก์ต้องซื้อของจำนวนที่ขาดไปจากผู้อื่นแพงไปจากราคาเดิมเป็นเงิน 43,000 บาท โจทก์ได้แจ้งให้ผู้ค้ำประกันชำระค่าเสียหายจำนวน 24,725บาทในวงเงินที่ค้ำประกันแก่โจทก์แล้ว จำเลยจึงยังต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีก 18,275 บาท ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่อาจส่งสินค้าให้แก่โจทก์เนื่องจากเหตุสุดวิสัยจึงไม่ผิดสัญญาซื้อขาย โจทก์ริบเงินประกันตามสัญญาซื้อขายแล้ว ไม่มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาข้อ 7.1 เป็นข้อกำหนดให้โจทก์เลือกปฏิบัติว่าจะริบเงินประกันหรือให้จำเลยใช้เงินส่วนที่โจทก์ซื้อแพงขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใดเมื่อโจทก์ริบเงินประกันแล้ว โจทก์ก็หมดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยอีก พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า เงินที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด ชำระให้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงินส่วนหนึ่งที่ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ มิใช่โจทก์เรียกริบเงินประกันแต่อย่างใด และกรณีมิใช่เป็นการเรียกให้ชำระเงินทั้งสองทางเพราะเป็นการเรียกให้ชำระค่าเสียหายที่ต้องซื้อของแพงขึ้นเพียงทางเดียว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามหนังสือของโจทก์ลงวันที่ 26 เมษายน 2522ดังเอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมายเลข 3 มีถึงจำเลยนั้น เป็นการบอกเลิกสัญญาซื้อขายแก่จำเลยและแจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์ขอสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายตามเงื่อนไขแห่งสัญญาซื้อขาย ข้อ 7.1 ซึ่งโจทก์จะแจ้งค่าเสียหายให้จำเลยทราบต่อไป ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทางริบเงินประกันตามสัญญาซื้อขาย เพราะมิฉะนั้นแล้วโจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องสงวนสิทธิและจ้างค่าเสียหายให้จำเลยทราบต่อไป โจทก์คงริบเงินประกันจากธนาคารกสิกรไทยจำกัด ผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันเสียเลยทีเดียว ฉะนั้นเมื่อต่อมาโจทก์ได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายตามจำนวนเงินที่โจทก์ซื้อสินค้าดังกล่าวแพงไปจากข้อตกลงแก่จำเลยเช่นนี้ ก็น่าจะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยในจำนวนเงินที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น ดังนั้นเงินที่โจทก์เรียกร้องให้ธนาคารกสิกรไทย จำกัด ชดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกัน เงินดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ซื้อสินค้าแพงขึ้น มิใช่เป็นการริบเงินประกันตามสัญญาซื้อขายแต่อย่างใด
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง