คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2513

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยรถยนต์จากการยึด โดยอ้างว่าจำเลยเช่าซื้อรถคันนี้ไปจากผู้ร้องแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ รถจึงตกเป็นของผู้ร้อง โจทก์ให้การคัดค้าน โดยอ้างด้วยว่าเจ้าหน้าที่ของผู้ร้องสมคบกับจำเลยให้มีการค้างค่าเช่าซื้อขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการบังคับคดี เป็นการกระทำโดยไม่สุจริต โจทก์จะมาอ้างเช่นนี้ในคดีร้องขัดทรัพย์หาได้ไม่ แม้จะให้โจทก์สืบในประเด็นข้อนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้รถคันนี้ตกเป็นของจำเลยอันจะทำให้โจทก์ยึดได้ศาลย่อมสั่งงดสืบพยานในประเด็นข้อนี้

ย่อยาว

โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 17 เดือนธันวาคมพุทธศักราช 2512

คดีนี้ ผู้ร้องร้องว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคล เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์ดัทสันเลขเครื่อง เจ.414593 เลขทะเบียน ก.ท.ท. 2109 (ทะเบียนเก่า ก.ท. 02521) โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2511 รถคันนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง จำเลยเช่าซื้อไปตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันท้ายคำร้อง นายบั๊กฮั้ว แซ่เซียว เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยผู้เช่าซื้อได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนด สัญญาจึงเป็นอันเลิกกันไป รถคันนี้จึงตกเป็นของผู้ให้เช่าซื้อคือผู้ร้อง ตามสัญญาข้อ 8 โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลยึดรถคันนี้หรือสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด ขอให้ศาลสั่งงดการขายทอดตลาด และสั่งถอนการยึด ปล่อยรถคืนให้ผู้ร้อง

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ โจทก์ไม่รับรองเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์ดังกล่าวจริง ยึดตามคำพิพากษาการยึดรถในคดีนี้เป็นการยึดสิทธิครอบครองและสิทธิการเช่าซื้อเพื่อโจทก์จะได้ยอมตนเข้าชำระราคาค่าเช่าซื้อที่จำเลยยังมีหน้าที่และผูกพันตนตามสัญญาเช่าซื้อเพื่อให้เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกับผู้ร้อง ให้ผู้ร้องได้รับชำระราคาทรัพย์ทั้งหมดที่เหลืออยู่ซึ่งในขณะนี้เป็นเงิน 12,700 บาท และโจทก์จะได้ดำเนินการไปตามสิทธิของโจทก์ตามคำพิพากษาต่อไป ผู้ร้องจึงไม่เสียหาย

ความจริงสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวระหว่างผู้ร้องกับจำเลยยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ สัญญาดังกล่าวยังมิได้บอกเลิกและจำเลยมิได้ผิดนัดการผ่อนส่งการเช่าซื้ออันจะเป็นเหตุให้ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาได้ การค้างชำระค่างวดหากจะมีขึ้นก็ด้วย เจ้าหน้าที่แผนกบัญชีผู้รับเงินของผู้ร้องสมคบกับจำเลยให้มีการค้างค่าเช่าซื้อขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการบังคับคดีของศาลและโจทก์ หลังจากการยึดทรัพย์แล้ว โจทก์ได้พยายามนำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดตามสัญญาเช่าซื้อไปชำระแก่ผู้ร้องเจ้าหน้าที่แผนกรับเงินของผู้ร้องไม่ยอมรับ โจทก์ถือว่าจำเลยไม่ได้ผิดนัดชำระเงินค่าเช่าซื้อกับผู้ร้อง ๆ จึงไม่มีสิทธิมาร้องเป็นคดีนี้ การกระทำของผู้ร้องเป็นการไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องรับเงินส่วนที่ค้างตามสัญญาเช่าซื้อของจำเลยจากโจทก์

จำเลยแถลงว่า ได้เช่าซื้อรถยนต์คันที่โจทก์นำยึดไปจากผู้ร้องจริงและขาดส่งค่างวดเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2511 งวดที่ 19 ตลอดมาจนบัดนี้

วันนัดชี้สองสถาน ผู้ร้องและโจทก์แถลงรับกันว่า จำเลยขาดส่งค่าเช่าซื้อมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2511 ผู้ร้องว่า นับแต่วันขาดส่งค่าเช่าซื้อรถยนต์ตกเป็นของผู้ร้องแล้วตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์ว่าผู้ร้องยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย และโจทก์ได้นำค่าเช่าซื้อไปชำระให้ผู้ร้องแทนจำเลย ผู้ร้องไม่ยอมรับ จึงนำยึดรถพิพาท

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคล นายปรีชา พรประภา และเรือโทบูรพา เหล่าสินชัย เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีในนามของผู้ร้องตามหนังสือรับรองของหอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทท้ายคำร้อง รถพิพาทจำเลยเช่าซื้อมา ยังส่งค่าเช่าซื้อไม่ครบกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 โจทก์จะอ้างถือสิทธิครอบครองหรือสิทธิตามสัญญามาลบล้างกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไม่ได้ และที่โจทก์ว่าจำเลยยังไม่ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและโจทก์ได้พยายามส่งค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดไปชำระให้แก่ผู้เช่าซื้อนั้น แท้จริงก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะทำเช่นนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 (3) และ 233 แต่เมื่อผู้ร้องไม่ยอมรับ โจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินคดีกับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จะนำยึดทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหาได้ไม่ จึงมีคำสั่งให้ปล่อยรถยนต์ดัทสันเลขเครื่อง เจ. 414593 จากการยึด

โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถา

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาอย่างคนอนาถาว่า ในประเด็นข้อต่อสู้ของโจทก์ที่ว่าผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โดยสมคบกับจำเลยให้มีการผิดนัดค่าเช่าซื้อเพื่อช่วยจำเลยให้หลุดพ้นจากการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ เมื่อไม่มีการสืบพยานจึงฟังเป็นยุติไม่ได้ และตามข้อต่อสู้ของโจทก์ โจทก์ต่อสู้ว่าโจทก์ยึดสิทธิการเช่าซื้อและการครอบครองของจำเลย โจทก์นำค่าเช่าซื้อไปชำระให้ผู้ร้อง แต่ผู้ร้องไม่ยอมรับผู้ร้องย่อมไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อต่อสู้นี้ จึงขอให้มีคำสั่งย้อนสำนวนให้โจทก์และผู้ร้องได้นำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ต่อไป

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ที่โจทก์นำยึด รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ซึ่งการร้องเช่นนี้กฎหมายให้อำนาจผู้ร้องที่จะขอได้แต่เพียงให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเท่านั้น คดีจึงมีประเด็นที่จะพิจารณาแต่เพียงว่า รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องใช่หรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงของคดีฟังได้ว่า รถยนต์พิพาทจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อไว้กับผู้ร้อง แต่จำเลยยังไม่ได้ใช้เงินครบถ้วนตามเงื่อนไขข้อสัญญาเช่าซื้อ รถยนต์พิพาทจึงยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่ เมื่อรถยนต์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินของจำเลยแล้วโจทก์ก็ยึดรถยนต์พิพาทไม่ได้ ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องกับจำเลยได้สมคบกันเพื่อให้มีการผิดนัดค่าเช่าซื้อเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้หลุดพ้นจากการบังคับคดีเป็นการกระทำไม่สุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และขอให้มีคำสั่งให้โจทก์ได้นำสืบในประเด็นข้อนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จะอ้างมาในคดีร้องขัดทรัพย์นี้หาได้ไม่ และแม้จะให้โจทก์สืบในประเด็นข้อนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทตกเป็นของจำเลย เนื่องจากแม้จำเลยจะไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดการชำระค่าเช่าซื้อ รถยนต์ก็ยังเป็นของผู้ร้องอยู่เพราะการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อยังไม่เสร็จสิ้นไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานในประเด็นข้อนี้ จึงเป็นการชอบแล้ว

ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ไม่สามารถจะทำให้ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปได้ เหตุนี้ที่ศาลล่างทั้งสองศาลมีคำสั่งให้ปล่อยรถยนต์พิพาทที่โจทก์นำยึดไว้นั้น เป็นการชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าทนายความ 200 บาทแก่ผู้ร้อง

Share