คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ.2486มิได้ห้ามเด็ดขาดว่าคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ได้ และแม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตามก็อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะยกขึ้นพิจารณาหรือไม่ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสองประกอบด้วย มาตรา 247
จำเลยยื่นคำให้การเพิ่มเติมอ้างว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง และจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นประการใดจึงหมดสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิในที่ดินโดยพี่สาวโจทก์ซื้อมาแล้วตกได้แก่โจทก์จำเลยขัดขวาง แม้โจทก์มิได้บรรยายลักษณะที่ดินและโจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารซื้อขายก็ตามก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะจำเลยเข้าใจฟ้องได้แล้วส่วนสำเนาเอกสารโจทก์จะต้องส่งหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรับฟังพยานเอกสารได้หรือไม่เพียงใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 ไม่เกี่ยวกับเรื่องฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านางสอนพี่สาวโจทก์ซื้อที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ 1 แปลง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไว้จากนางมา เป็นเงิน 240 บาท ทำหนังสือซื้อขายที่อำเภอบางไทร ต่อมาที่ดินแปลงนี้ตกเป็นมรดกแก่โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองตลอดมาและได้จดทะเบียนการรับมรดกที่ดินไว้ที่กรมการอำเภอบางไทร ต่อมา พ.ศ. 2495 โจทก์นำเจ้าพนักงานไปรังวัด จำเลยซึ่งเป็นบุตรสะใภ้นางมาคัดค้าน ทำให้โจทก์เสียหาย 300 บาท ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง

จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยติดต่อกับโฉนดที่ 1188 ซึ่งมีชื่อนายพุดสามีจำเลยกับผู้อื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นายพุดตายจำเลยปกครองร่วมกันมากับที่ดินพิพาทโจทก์และนางสอนไม่เคยเกี่ยวข้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมิได้บรรยายรูปลักษณะและที่ของที่พิพาทฯ

ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสืบพยานโจทก์ไปแล้วเหลืออีก 3 ปาก จำเลยยื่นคำให้การเพิ่มเติมเข้ามาว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. 2486 ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องเพิ่มเติมยกเหตุว่าไม่เกี่ยวกับคดีและจำเลยยื่นภายหลังชี้สองสถาน และศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาฟังว่าโจทก์ปกครองที่พิพาทมาที่ดินจึงเป็นสิทธิแก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาใจความว่า

1. ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยถึงว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวไม่ถูกต้อง

2. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายลักษณะของที่ดินและไม่ได้คัดสำเนาสัญญาซื้อขาย

3. ควรเชื่อว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา

ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของจำเลยในข้อ 1 นั้นศาลชั้นต้นสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย จำเลยมิได้ทำคำคัดค้านโต้แย้งคำสั่งไว้แต่ประการใดจึงหมดสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)อนึ่ง พระราชบัญญัติที่ดินดังกล่าวมิได้ห้ามเด็ดขาดว่าคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ได้ แม้ข้อที่จำเลยอ้างนี้จะเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ดี แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 247 ให้ดุลพินิจแก่ศาลที่จะยกขึ้นพิจารณาหรือไม่ ในกรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ปฏิบัติชอบแล้ว

ฎีกาข้อ 2 เห็นว่าโจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายลักษณะที่ดินเพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขัดขวางในการที่โจทก์จะทำการรังวัดที่ดินของโจทก์ ซึ่งพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจฟ้องได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะที่ดิน

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์นำเจ้าพนักงานทำการรังวัดโจทก์บรรยายความว่า ที่ดินของโจทก์มีสัญญาซื้อขาย ในชั้นนี้โจทก์มิได้อ้างสัญญาซื้อขายเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลย

ฎีกาข้อ 3 คดีฟังได้ว่าโจทก์ครอบครองตลอดมา

พิพากษายืน

Share