คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อมีหนี้จะต้องรับผิดเกิดขึ้นแล้วคู่กรณีย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลได้ การตกลงตัดสิทธิไม่ให้นำคดีมาสู่ศาลย่อมเป็นโมฆะ ข้อตกลงเช่นนี้ไม่มีผล

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์ได้เอารถยนต์ประกันภัยไว้กับจำเลย โดยจำเลยตกลงว่า หากเกิดอัคคีภัยขึ้นแก่รถยนต์คันนั้น จำเลยจะใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ 30,000 บาท ระหว่างอายุสัญญา ไฟไหม้รถยนต์เสียหายหมดทั้งคัน

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสองให้จำเลยใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 30,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ ให้โจทก์

ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาคัดค้านว่า ในสัญญาได้ระบุเงื่อนไขพิเศษไว้ว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยจะต้องมอบให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดเสียก่อนที่จะดำเนินคดีฟ้องร้อง และถ้าไม่มีการเสนอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดตัดสินภายใน 12 เดือนแล้ว สิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์จำเลยให้ถือว่า สละเสียแล้วโดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ใด ๆทั้งสิ้น และจะนำมาเรียกร้องกับจำเลยอีกในภายหลังไม่ได้ นั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อมีหนี้จะต้องรับผิดเกิดขึ้นแล้ว คู่กรณีย่อมมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลได้ การตกลงตัดสิทธิไม่ให้นำคดีมาสู่ศาลย่อมเป็นโมฆะ ข้อตกลงดังว่านี้ย่อมไม่มีผล ส่วนการตกลงเรื่องอนุญาโตตุลาการกันไว้ดังเช่นในคดีนี้ นั้น จะมีผลประการใดก็ย่อมแล้วแต่ว่าเป็นการตัดสิทธิมิให้นำคดีมาฟ้องหรือไม่ หากมีทางที่หวังว่า คดีอาจเสร็จไปได้โดยทางอนุญาโตตุลาการ ก็เพียงเป็นเหตุขอให้งดการพิจารณาคดีนี้ไว้ก่อน อย่างไรก็ดี ในคดีนี้ จำเลยเองก็ไม่ได้ดำเนินการขอให้มีการตั้งอนุญาโตตุลาการประการใด ข้อตัดฟ้องข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

Share