คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในชั้นที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวขอให้ศาลห้ามจำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโรงแรม บ. จำเลยทั้งสองคัดค้านเพียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ตั้งกิจการโรงแรม จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการโรงแรมดังกล่าวก็เพื่อรักษาราคาที่ดินของจำเลยทั้งสองมิให้ตกต่ำลงเท่านั้น คำคัดค้านของจำเลยทั้งสองเท่ากับยอมรับในตัวว่ากิจการโรงแรม บ. เป็นของโจทก์ แม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(3) และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยทั้งสองแถลงไม่ติดใจสืบพยานชั้นไต่สวน แสดงว่าศาลให้โอกาสนำพยานเข้าสืบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะนำพยานเข้าสืบเอง หาใช่จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่ ในชั้นที่โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีเพราะมิใช่ศาลที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่หรือไม่ ย่อมไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้เพราะตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่ายคดีออกจากสารบบความคู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้เสมอ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจ ซึ่งเป็นกิจการของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไป กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 150,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะหยุดกระทำละเมิด ระหว่างการพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจเป็นของจำเลยทั้งสองกับพวก จำเลยทั้งสองจำเป็นต้องเข้าไปดำเนินกิจการโรงแรมดังกล่าวเพื่อรักษาราคาที่ดินโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองหยุดดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจอันเป็นทรัพย์พิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าโรงแรมอันเป็นกิจการบังกะโลเกาะไหวิลเลจเป็นกิจการของโจทก์หรือของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวขอให้ศาลห้ามจำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจของโจทก์นี้ จำเลยทั้งสองคงคัดค้านแต่เพียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ตั้งกิจการโรงแรมบังกะโลจำเลยทั้งสองเข้าไปดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจก็เพื่อรักษาราคาที่ดินของจำเลยทั้งสองกับพวกมิให้ตกต่ำลงเท่านั้นคำคัดค้านของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับอยู่ในตัวว่ากิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจเป็นกิจการของโจทก์ทั้งได้ความจากคำเบิกความของนายมนัส พัฒนพัวพันธ์ผู้ชำระบัญชีของบริษัทโจทก์และนายวรรณชัย เปาลิวัฒน์ พยานโจทก์ชั้นไต่สวนคำร้องว่า กิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจเป็นของโจทก์จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่ากิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจเป็นของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบในชั้นนี้ นั้น เห็นว่าแม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(3) และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่5 มีนาคม 2534 ว่า จำเลยทั้งสองแถลงไม่ติดใจสืบพยานชั้นไต่สวนแสดงว่าศาลให้โอกาสนำพยานเข้าสืบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะนำพยานเข้าสืบเอง หาใช่จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ต้องฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดกระบี่เพราะเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลชั้นต้นนั้นเห็นว่า ชั้นนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีนี้หรือไม่ ย่อมไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้เพราะตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความคู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้เสมอศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้”
คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share