คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6118/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยได้ชักชวนผู้เสียหายกับพวกไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์โดยเรียกเงินค่าใช้จ่ายเป็นเงินในการดำเนินการจากพวกผู้เสียหายเป็นค่าตอบแทนแล้วจำเลยได้พาพวกผู้เสียหายเดินทางไปทำงานเป็นกรรมการก่อสร้างที่ประเทศสิงคโปร์ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนหางานไปทำงานต่างประเทศ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้างอันเป็นการจัดหางานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4 แล้ว เพราะจำเลยรู้อยู่แล้วว่า จำเลยไม่มีใบอนุญาตให้จัดหางาน แต่จำเลยก็ดำเนินการต่าง ๆ เป็นการหางานให้พวกผู้เสียหายโดยมุ่งจะเอาค่าตอบแทนจากพวกผู้เสียหายเป็นรายบุคคล จึงมีความผิดข้อหานี้แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยจัดหางานให้คนหางานผู้ประสงค์จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ โดยจำเลยเรียกและรับเงินค่าบริการจากคนหางานเป็นค่าตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางตามกฎหมาย และจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนว่า จำเลยเป็นหัวหน้างานสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ในตำแหน่งกรรมกรก่อสร้าง รายได้เดือนละ 6,000 บาทถึง 9,000 บาท และสวัสดิการดี แต่ต้องเสียค่าบริการต่าง ๆแก่จำเลยคนละ 23,000 บาท ผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปทำงานดังกล่าวให้ติดต่อสมัครได้ที่จำเลย แล้วจำเลยจะจัดส่งไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ทันทีอันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยไม่มีงานหรือตำแหน่งใดในประเทศสิงคโปร์ที่จะให้คนหางานไปทำงานได้ทั้งไม่สามารถจัดให้ผู้ประสงค์จะไปทำงานได้ทำงานโดยได้รับค่าจ้างตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใดและโดยการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเชื่อว่าเป็นความจริง สมัครไปทำงานกับจำเลย จำเลยได้เงินค่าบริการต่าง ๆ จากนายบุญแปลง คำมูลกับพวกผู้เสียหาย รวม 15 คน เป็นเงิน 345,000 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 91 พระราชบัญญัติจัดหาคนงานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 345,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคแรก, 82จำคุก 5 ปี ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยได้ชักชวนผู้เสียหายกับพวกไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์โดยเรียกเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากพวกผู้เสียหายเป็นค่าตอบแทนคนละ 23,000 บาทแล้วจำเลยได้พาพวกผู้เสียหายทั้งสิบห้าคนเดินทางไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างที่ประเทศสิงคโปร์ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนหางานไปทำงานต่างประเทศ ดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้างอันเป็นการจัดหางานตามความหมายของพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4 แล้ว เพราะจำเลยรู้อยู่แล้วว่า จำเลยไม่มีใบอนุญาตให้จัดหางาน แต่จำเลยก็ดำเนินการต่าง ๆ เป็นการหางานให้พวกผู้เสียหาย โดยมุ่งจะเอาค่าตอบแทนจากพวกเสียหายเป็นรายบุคคล จึงถือได้ว่า จำเลยมีเจตนากระทำความผิดข้อหานี้แล้ว ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ก็ได้บรรยายแยกการกระทำของจำเลยเป็นสองตอน และไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายอันจะถือว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องไม่เป็นความผิดในข้อหานี้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ใช้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share