คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเรียกเอาเงินและขู่บังคับให้โจทก์หาเงินให้จำเลย อันเป็นการเรียกหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149, 157

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

วันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีอ้างว่าโจทก์ไปกิจธุระส่วนตัวที่กรุงเทพฯ ไม่ได้มาศาล พยานอื่นก็ไม่มา จำเลยคัดค้านศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย วินิจฉัยว่า โจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว มีเจตนาส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้า เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย ไม่มีเหตุสมควรให้โจทก์เลื่อนคดี ถือได้ว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ อ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยนัดฟังคำพิพากษา เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ทั้งที่มีเวลาสมควรที่จะโต้แย้งคัดค้านได้ก่อนศาลพิพากษา คดีของโจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์อ้างว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาไว้โดยเฉพาะแล้วตามมาตรา 196 จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ได้หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วโดยไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ก่อน

จำเลยฎีกาขอให้กลับคำสั่งศาลอุทธรณ์

ศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share