แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 83 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 83 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ (โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 ถือปืนขู่) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติได้ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๘๑, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ วรรคแรก, ๒๘๑, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗ จำคุกคนละ ๕ ปี (ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนเดียว จำเลยที่ ๒ ถือปืนขู่ มิได้ข่มขืนกระทำชำเราด้วย)
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริงแล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น จึงพิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรค ๒ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗ ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น